|
|
|
|
ในที่สุด สัมมนาแรงงานหญิงบริการทางเพศแห่งภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ที่มูลนิธิส่งเสริมโอกาสผู้หญิงหรือ "เอ็มพาวเวอร์" จัดขึ้นเมื่อวันที่ ๑๕-๑๘ พฤศจิกายน ก็ผ่านไปได้ด้วยดี แม้จะมีเสียงคัดค้านหนาหูจากนักการเมือง และเจ้าหน้าที่ตำรวจ ว่าไม่ควรใช้ประเทศไทยเป็นสถานที่จัดประชุม เพราะเห็นว่า นอกจากจะเป็นโอกาสให้มีการรวมตัวของกลุ่ม ผู้ประกอบอาชีพผิดกฎหมาย โดยเปิดเผยแล้ว ยังเป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่ไม่ดีแก่ประเทศไทยด้วย ผู้เข้าร่วมประชุมครั้งนี้ประกอบด้วย ตัวแทนจากองค์กรพัฒนาเอกชน ที่ทำงานเกี่ยวข้องกับผู้ขายบริการทางเพศ และกลุ่มผู้ขายบริการทางเพศทั้งหญิงและชาย จาก ๑๑ ประเทศ คือ ออสเตรเลีย บังกลาเทศ อินโดนีเซีย ไต้หวัน ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย พม่า อเมริกา ญี่ปุ่น อินเดีย และไทย โดยผู้เข้าร่วมประชุมได้แลกเปลี่ยนปัญหา และกล่าวถึงความต้องการของตนในที่ประชุม เพื่อที่ตัวแทนของแต่ละประเทศ จะได้นำประเด็นปัญหา และข้อเรียกร้องเหล่านี้มาสรุป และนำเสนอต่อผู้มีอำนาจในประเทศของตนต่อไป ประเด็นสำคัญในการประชุมครั้งนี้ก็คือ การเรียกร้องให้มีการรับรองอาชีพขายบริการทางเพศ ให้เป็นอาชีพที่ถูกกฎหมาย โดยผู้เข้าร่วมประชุมให้เหตุผลว่า อาชีพนี้เป็นอาชีพที่สุจริต และทำรายได้ในภาคธุรกิจ การบริการเป็นจำนวนมหาศาล และเมื่อไม่นานมานี้ องค์กรแรงงานระหว่างประเทศ หรือ ไอแอลโอ ก็ได้ให้สัมภาษณ์แก่สื่อมวลชนในประเด็นเดียวกันว่า ในปี ค.ศ. ๒๐๐๐ นี้ รัฐบาลชาติต่าง ๆ ควรออกกฎเกณฑ์ด้านแรงงาน และมาตรฐานปกป้องสังคม โดยการรับรองให้อาชีพโสเภณี เป็นอาชีพที่ถูกต้องตามกฎหมายใน "ภาคการค้าบริการทางเพศ" พร้อมกับเรียกร้องให้สังคมเปิดใจให้กว้าง ยอมรับว่าอาชีพโสเภณีเป็นอาชีพที่สุจริต เช่นเดียวกับอาชีพอื่น ๆ เพราะนอกจากผู้ประกอบอาชีพนี้ จะมีอยู่เป็นจำนวนมากแล้ว ยังถือเป็นกำลังหลัก ในการสร้างรายได้ให้แก่ประเทศในภูมิภาคนี้ด้วย ทว่าหลังจากเสียงเรียกร้องให้อาชีพโสเภณี เป็นอาชีพถูกกฎหมายเผยแพร่ออกมาทางสื่อมวลชน นักการเมือง เจ้าหน้าที่ตำรวจ และประชาชนส่วนหนึ่ง ก็ได้ออกมาคัดค้านในเรื่องนี้ เนื่องจากเห็นว่า หากอาชีพนี้ได้รับการรับรอง ให้เป็นอาชีพที่ถูกกฎหมาย ก็อาจก่อให้เกิดผลเสียตามมามากมาย ไม่ว่าจะเป็นในแง่ภาพลักษณ์ของประเทศ หรือการขยายตัวของธุรกิจการค้าบริการทางเพศ ทั้งยังเห็นว่าสังคมไทยยังไม่พร้อมจะยอมรับในเรื่องนี้อย่างแน่นอน ด้วยเหตุนี้ ประเด็นปัญหาว่าด้วยการรับรอง ให้อาชีพโสเภณีเป็นอาชีพที่ถูกกฎหมาย จึงถูกหยิบยกขึ้นมาถกเถียงกันอีกครั้ง และบอกให้เรารู้ว่า อาจถึงเวลาแล้วที่สังคมไทยจะต้องขบคิดใคร่ครวญ ถึงเรื่องนี้อย่างจริงจัง เพื่อหาคำตอบและทางออกที่ดีที่สุดให้แก่ "อาชีพพิเศษ" ที่แฝงฝังอยู่ในสังคมไทยมาเนิ่นนาน
|
|
|
|
|
|