เมื่อความต้องการของลูกค้านั้นเปลี่ยนแปลงอยู่เรื่อยๆ สิ่งที่นักการตลาดต้องทำก็คงหนีไม่พ้นการเฝ้าติดตามพฤติกรรมของลูกค้าว่ามี ความต้องการไปในทางใดบ้าง เพื่อหาหรือพัฒนาสินค้าและบริการที่เหมาะสมมาคอยตอบโจทย์ให้กับลูกค้าเหล่า นั้น ซึ่งก่อนที่เราจะเริ่มทำการตลาด ควรรู้ก่อนว่าพฤติกรรมแบบไหนที่เป็นกระแสความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นและคง อยู่เป็นระยะเวลายาวนานพอสมควร หรือแบบไหนที่เป็นแค่ความเห่อที่เกิดขึ้นประเดี๋ยวประด๋าวแล้วก็แผ่วหายไป จากนั้นไปดูต่อว่าเราสามารถหาข้อมูลเรื่องกระแสสังคมได้จากไหน ก่อนที่สุดท้ายจะนำกระแสเหล่านั้นมาใช้ทำอะไรกับธุรกิจของเราได้บ้าง แยกให้ออกระหว่างความเห่อกับเทรนด์นักการตลาดส่วนมากพยายามวิ่งตามกระแสความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลง ไปอยู่ตลอด จนบางทีลืมคิดไปว่าความต้องการเหล่านี้มีความยั่งยืนสักแค่ไหน ซึ่งความต้องการของลูกค้าเหล่านั้นสามารถแยกได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ นั่นก็คือความเห่อ (fads) และ เทรนด์ (trends) ความเห่อหรือ fads นั้นเป็นกระแสความนิยมเพียงช่วงเวลาสั้นๆ ที่ไม่สามารถคาดเดาได้และส่งผลต่อการขายได้น้อยเนื่องจากนักตลาดไม่สามารถ วิเคราะห์และปรับตัวตามทันได้ อีกทั้งยังไม่มีความคุ้มค่าถ้าหากต้องลงทุนเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างเพื่อ สนองความต้องการลูกค้าในช่วงเวลาอันน้อยนิดซึ่งก็จะผ่านไปด้วยความรวดเร็ว เช่นเดียวกัน ตัวอย่างของความเห่อเช่น คลิปครูอังคณาใน Youtube ที่เกิดขึ้นมาอย่างไม่มีที่มาที่ไป ดังเป็นพลุในแค่เพียงชั่วข้ามคืน และก็หายวับไปในวันถัดมา หรือกระแส Wristband ที่นำมาจากเมืองนอก ซึ่งในช่วงแรกๆ ขายได้เส้นหนึ่งมีราคาถึงหลักร้อยขึ้นไป แต่เมื่อเวลาผ่านไปและไม่มีเทรนด์อะไรมาพยุงความน่าสนใจไว้อีก ผู้คนเริ่มหมดความสนใจในเวลาอันสั้น หลังจากนั้นก็ตกลงมาเหลือเส้นละ 20 บาท
ความเห่อแตกต่างกับเทรนด์ตรงที่เราสามารถคาดเดาเทรนด์ได้ และเทรนด์ก็มีความยืนยาวกว่า ความเห่อแตกต่างกับเทรนด์ตรงที่เราสามารถคาดเดาเทรนด์ ได้ และเทรนด์ก็มีความยืนยาวกว่า ทำให้นักการตลาดสามารถใช้เวลากับการวิเคราะห์เทรนด์ของผู้บริโภคในอนาคต เพื่อที่จะปรับตัวตามได้อย่างคุ้มค่า เช่น เทรนด์ของลูกค้าที่เอาใจใส่ในเรื่องสุขภาพและความสวยความงามกันมากขึ้นใน ปัจจุบัน ทำให้ผู้ที่มองเทรนด์ออกได้แห่กันไปจับธุรกิจนี้กันอย่างมากมาย และยังมีแนวโน้มว่าผู้คนจะยังให้ความสนใจเทรนด์สุขภาพเพิ่มขึ้นและต่อเนื่อง ไปอีก เป็นต้น แต่ถ้าหากเทรนด์บางอย่างสามารถเกาะติดอยู่ติดกับกระแสสังคมไปอีกนานโดยประมาณ 7-10 ปี เราก็สามารถเรียกเทรนด์ประเภทนี้ได้ว่า เทรนด์ยักษ์ (Megatrends) ตัวอย่างเช่น ระบบอินเตอร์เน็ตที่เกิดขึ้นมาและได้รับความนิยมอย่างสูงในช่วงประมาณ 10 กว่าปีที่ผ่านมา ได้ทำให้ระบบ E-books หรือหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ที่กำลังเป็นที่นิยมและมีเทรนด์ในระยะยาวจะมีผู้ ใช้เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ แทนการอ่านหนังสือแบบเป็นที่พิมพ์เป็นเล่มๆ ซึ่งนอกจาก E-book จะมีต้นทุนที่ถูกกว่าแล้วยังสามารถพกพาหนังสือหลายๆ เล่มบนอุปกรณ์เครื่องเดียวไปไหนมาไหนได้สะดวกกว่าอีกด้วย เป็นต้น ด้วยลักษณะของระยะเวลาความนิยมที่ยาวนานกว่าและสามารถวิเคราะห์ได้ ทำให้สิ่งสำคัญที่นักการตลาดควรความให้ความสำคัญจึงเป็นเทรนด์และเท รนด์ยักษ์มากกว่าที่จะให้ความสนใจกับกระแสความนิยมแบบฉาบฉวย เครื่องมือดีๆ จะช่วยให้เราทันทุกเทรนด์เว็บไซต์ช่วยจับตามองเทรนด์ความสนใจของคนในสังคมอย่าง zocialrank ที่มีการจัดลำดับความสนใจของคนในโลก social media ปัจจุบันนี้มีเครื่องมืออยู่จำนวนหนึ่งที่สามารถช่วยบอกเราได้ว่าในช่วง นี้ผู้คนกำลังสนใจเรื่องอะไรกันอยู่ กลุ่มเครื่องมือแรกที่อยากแนะนำ เช่น เว็บไซต์ช่วยจับตามองเทรนด์ความสนใจของคนในสังคมอย่าง www.zocialrank.com ที่มีการจัดลำดับความสนใจของคนในโลก social media ไม่ว่าจะเป็น facebook, twitter, youtube หรือ foursquare ว่าคนส่วนใหญ่พูดถึงหัวข้อหรือประเด็นอะไรกันอยู่บ้าง โดย zocialrank จะทำการจัดเรียงข้อมูลเรื่องที่ผู้คนพูดถึงมากที่สุดมาให้ตามลำดับ พร้อมทั้งบอกอัตราเติบโตของเทรนด์ผู้คนที่กำลังสนใจอีกด้วย โดยสามารถแยกดูข้อมูลแยกตามหมวดหมู่ต่างๆ อย่างเช่นหมวดบันเทิงก็จะสามารถบอกเราได้ถึงความเคลื่อนไหวของผู้คนว่ากำลัง สนใจอะไรกันอยู่ หรือหมวดธุรกิจก็สามารถบอกเราได้ว่าธุรกิจอะไรกำลังมาแรงหรือเป็นที่นิยม ผู้คนมีความคิดที่จะลงทุนกันในลักษณะใด เป็นต้น
เครื่องมือแบบถัดมาใช้หลักสถิติในการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อให้เกิดมุมมอง เกี่ยวกับเทรนด์ของลูกค้าได้มากขึ้น เช่น การค้นหาสถิติการนำเข้าหรือส่งออกตามเว็บไซต์ต่างๆ ในแต่ละปี ก็ช่วยให้เรามองเห็นว่าอัตราการเพิ่มขึ้นหรือลดลงของสินค้าที่ผู้คนสนใจว่า มีเทรนด์เป็นเช่นไรในอนาคต มองเทรนด์ให้เป็นโอกาสเมื่อเรารู้แล้วว่าผู้คนมีความสนใจอะไรเป็นพิเศษ และอะไรคือสินค้าและบริการประเภทไหนที่อยู่ในเทรนด์ความสนใจของลูกค้าเป็น พิเศษ แล้วเหตุใดเราถึงไม่ใช้ประโยชน์จากข้อมูลเหล่านี้ล่ะ ซึ่งเราสามารถใช้ข้อมูลเหล่านี้เพื่อเป็นการเพิ่มช่องทางการตลาดให้เรามี โอกาสที่จะแทรกตัวเข้าไปในตลาดได้ง่ายขึ้น เช่น เมื่อเราเห็นว่ากระแสของ iphone 5 นั้นมีมากมายและเป็นที่พูดถึงกันทั่วไปมากๆ จนผลสำรวจหลายๆ แห่งออกมาว่านี่ถือเป็น iphone รุ่นที่ขายได้ดีที่สุดตั้งแต่มีการผลิตมา ทำให้เรารู้ได้เองเลยว่าในอนาคตนั้นต้องมีเทรนด์ว่าจะมีผู้ที่ใช้ iphone 5 เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก ซึ่งถ้าหากเราเป็นโรงงานพลาสติก หรือทำแม่พิมพ์ต่างๆ ก็ควรเริ่มเกาะเทรนด์นี้ไว้อย่างดี พร้อมทั้งหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ชิ้นนี้ เพื่อที่จะได้เตรียมทำ Case ออกมารองรับความต้องการของลูกค้าด้วยการเสนออุปกรณ์ตกแต่งของสินค้าที่กำลัง เป็นที่นิยมที่สุดในช่วงเวลานี้ หรือเราอาจจะใช้ข้อมูลในการปรับเปลี่ยนหรือพัฒนาผลิตภัณฑ์ของเรานั้นให้ ได้ตรงตามความต้องการของลูกค้าในช่วงเวลานั้นๆ อย่างยาสีฟันสมุนไพรบางยี่ห้ออย่างดอกบัวคู่ ก็ต้องมีการปรับตัวให้ดูมีความทันสมัยมากขึ้น เพราะคนสมัยใหม่นั้นใส่ใจเรื่องสุขภาพมากขึ้น ดังนั้นยาสีฟันยี่ห้อดอกบัวคู่ที่เป็นผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทยอยู่แล้วตั้งแต่ แรกเริ่มจึงใช้เรื่องสุขภาพมาเป็นจุดแข็งในการเจาะตลาดคนรุ่นใหม่ โดยปรับโฉมตัวเองให้ดูทันสมัยน่าใช้และเข้ากับบุคลิกคนรุ่นใหม่มากขึ้น • • • สุดท้ายแล้วการทำการตลาดจากเทรนด์ของผู้บริโภคนั้นทำได้ไม่อยาก หากเราแยกออกว่าพฤติกรรมไหนเป็นเทรนด์หรือเป็นแค่ความเห่อ และมีเทรนด์ใดที่น่าจับตามองบ้าง ด้วยเครื่องมือมากมายใกล้ๆ ตัวอย่างเช่น เว็บไซต์ต่างๆ หรือแม้กระทั่งอันดับหนังสือก็สามารถบอกถึงความสนใจของผู้คนในปัจจุบันได้ ก่อนที่สุดท้ายจะนำข้อมูลที่วิเคราะห์ทั้งหมดมาใช้กับแผนการตลาดเพื่อสร้าง สินค้าใหม่หรือพัฒนาสินค้าเดิมที่มีอยู่ให้ตอบสนองได้ตรงใจผู้บริโภคได้มาก ขึ้นอย่างเต็มที่
|