จากนโยบายการปรับขึ้นค่าจ้างขั้น ต่ำวันละ 300 บาทของรัฐบาล ที่จะมีผลบังคับใช้ทั่วประเทศ ในวันที่ 1 มกราคม 2556 ทำให้ผู้ประกอบการโรงงานอุตสาหกรรมได้รับผลกระทบจากการปรับค่าจ้างแบบก้าว กระโดดถึงร้อยละ 40 โรงงานต่าง ๆ จึงหันมาพิจารณาปรับลดสวัสดิการที่เคยให้แก่ลูกจ้าง เพื่อเป็นการลดต้นทุนที่ปรับตัวสูงขึ้นจากอัตราค่าจ้างขั้นต่ำที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ SMEs ที่มีการจ้างแรงงานตั้งแต่ 1-25 คน จะได้รับผลกระทบมากที่สุด เนื่องจากมีผู้ประกอบการ SMEs มากถึงร้อยละ 98 ของผู้ประกอบการทั้งประเทศ รัฐบาลจึงมีมาตรการบรรเทาผลกระทบจากการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ในปี 2556 และเพิ่มขีดความสามารถผู้ประกอบการ SMEs โดยคณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายนที่ผ่านมา กำหนด 7 มาตรการในการช่วยเหลือ ประกอบด้วย 1.มาตรการการลดภาษี ได้แก่ - การลดภาษีเงินได้นิติบุคคล จากเดิมร้อยละ 23 เหลือร้อยละ 20 ในปี 2556 - การหักค่าลดหย่อนก่อนเสียภาษีเงินได้สำหรับผู้ประกอบการ SMEs เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 90 - การกำหนดให้นิติบุคคล ที่มีเงินได้หลังหักค่าใช้จ่ายไม่ถึง 1 ล้านบาท ไม่ต้องเสียภาษี - การลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เพื่อช่วย SMEs ขนาดเล็ก 2.มาตรการการนำส่วนต่างของค่าจ้างที่เพิ่มขึ้นมาลดหย่อนภาษี โดยนำส่วนต่างของค่าจ้างที่ต้องจ่ายขั้นต่ำวันละ 300 บาท เพิ่มขึ้นจากปี 2554 มาหักเป็นค่าใช้จ่ายก่อนชำระภาษี ได้ 1.5 เท่าในปี 2555 และเป็น 2 เท่า ในปี 2556 และขยายเวลาออกไปอีก 3 ปี 3.มาตรการสินเชื่อเพื่อพัฒนาผลิตภาพการผลิต เป็นการช่วยเหลือ SMEs ในภาคการผลิตเพื่อพัฒนาเครื่องจักร นำไปลงทุนขยายปรับปรุงหรือพัฒนากิจการด้านต่างๆ โดยขยายเวลาจนถึงปี 2557 4.มาตรการค้ำประกันสินเชื่อในลักษณะ Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ 5 โดยมุ่งช่วยเหลือ SMEs ที่มีศักยภาพและต้องการสินเชื่อแต่ขาดหลักประกัน ให้มีโอกาสเข้าถึงสินเชื่อได้ มากขึ้น ซึ่งมีวงเงินค้ำประกันต่อรายต่อสถาบันการเงินสูงสุดไม่เกิน 40 ล้านบาท วงเงินค้ำประกันรวม 24,000 ล้านบาท เสียค่าธรรมเนียมร้อยละ 1.75 ต่อปี และมีอายุการค้ำประกันโครงการ 5 ปี นอกจากนี้ยังสนับสนุนให้สถาบันการเงินให้สินเชื่อในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3 ต่อปีกรณีมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน และอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 5 กรณีไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน โดยให้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม หรือ บสย. เป็นผู้ค้ำประกันความเสี่ยง 5.มาตรการค้ำประกันสินเชื่อในลักษณะ Portfolio Guarantee Scheme สำหรับผู้ประกอบการใหม่ มุ่งช่วยเหลือ SMEs ที่เริ่มประกอบธุรกิจใหม่และมีความเสี่ยงสูง ให้มีโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินกู้จากระบบสถาบันการเงินมากขึ้น วงเงินค้ำประกันต่อรายต่อสถาบันการเงินไม่เกิน 2 ล้านบาท วงเงินค้ำประกันรวม 10,000 ล้านบาท อายุการค้ำประกันโครงการ 7 ปี เสียค่าธรรมเนียมร้อยละ 2.5 ต่อปี ซึ่งรัฐบาลจะสนับสนุนค่าธรรมเนียมในปีแรก 6.มาตรการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลกรณีปรับเปลี่ยนเครื่องจักรเพื่อ เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต โดยขยายเวลาไปจนถึงปี 2558 ที่มีการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลแก่บริษัท หรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ซึ่งมีทุนที่ชำระแล้วในวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีไม่เกิน 5 ล้านบาท และมีรายได้จากการขายสินค้าและบริการไม่เกิน 30 ล้านบาทต่อปี ซึ่งบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล สามารถใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับเงินได้ที่มาจากการขายทรัพย์สิน ประเภทเครื่องจักรที่ใช้ผลิตสินค้าให้บริการรับจ้างผลิตสินค้า เพื่อซื้อเครื่องจักรใหม่ทดแทน 7.มาตรการการหักค่าเสื่อมราคาเครื่องจักร โดยกำหนดเงื่อนไขและอัตราการหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาของทรัพย์สิน ประเภทเครื่องจักรที่ใช้ในการผลิตสินค้าหรือให้บริการรับจ้างผลิตสินค้าให้ แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ซึ่งมีทุนที่ชำระแล้วในวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชี ไม่เกิน 5 ล้านบาทและมีรายได้จากการขายสินค้าและบริการไม่เกิน 30 ล้านบาทต่อปี ซึ่งสำนักงานพัฒนาการ เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สศค.เห็นควรให้ขยายเวลาการหักค่าเสื่อมราคาเครื่องจักรได้ร้อยละ 100 ในปีแรกออกไปอีก 1 ปี จะเห็นได้ว่า 7 มาตรการเหล่านี้เป็นการเพิ่มสภาพคล่อง เพิ่มวงเงิน และลดต้นทุนทางการเงินให้ผู้ประกอบการ SMEs มีเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ นอกจากนี้การพิจารณาใช้มาตรการภาษียังช่วยสนับสนุนให้เกิดการตัดสินใจและส่ง เสริมบริโภคในกลุ่มสินค้าที่เป็นประโยชน์ ถูกผลิตขึ้นโดยธุรกิจ SMEs และการพิจารณานำกองทุนหมุนเวียนภาครัฐ มาใช้ร่วมกับเงินทุนหมุนเวียนของเอกชน อย่างไรก็ดีไม่เพียงแต่มาตรการที่กล่าวมาข้างต้น ในเร็ว ๆ นี้ ก็เชื่อว่า จะมีการช่วยเหลือในด้านต่างๆ ออกมาให้ทันกับการปรับขึ้นค่าจ้างในวันที่ 1 มกราคม 2556 อีกไม่ว่าจะเป็นการขยายเวลาลดเงินสมทบประกันสังคมออกไปอีก 1 ปี การจัดตั้งกองทุนเงินกู้จำนวน 1-2 หมื่นล้านให้แก่ธุรกิจ SMEs
|