หน้าแรก | ลงโฆษณาฟรี l หางาน l คอมพิวเตอร์ l เว็บบอร์ด | ตลาดออนไลน์ | อัตราค่าลงโฆษณา
www.cmprice.com เว็บไซต์ของฅนเชียงใหม่ ผ้าพันคอราคาถูก ราคาส่ง เชียงใหม่ ลำพูน

หน้าแรก » เว็บบอร์ด
ห้องแก๋งโฮ๊ะ
เว็บบอร์ด » ห้องแก๋งโฮ๊ะ
รายละเอียดของห้อง : พูดคุยกันเรื่องทั่วๆ ไป, สัพเพเหระ, อยากถาม อยากตอบ
กระทู้ที่ตอบกลับล่าสุด | สร้างกระทู้ใหม่ | ดูกระทู้ทั้งหมด | ค้นหากระทู้ :
สาวบัวตองแห่งหนองช้างคืน กับเจ้าน้อยพรหมวงศ์ โศกนาฏกรรมรักยิ่งใหญ่แห่งนครลำพูน

แชร์หน้านี้ ไปยัง facebook ตอบกลับกระทู้นี้ VV กดถูกใจกระทู้นี้ VV
สาวบัวตองแห่งหนองช้างคืน กับเจ้าน้อยพรหมวงศ์ โศกนาฏกรรมรักยิ่งใหญ่แห่งนครลำพูน
โพสต์โดย โน้ต cmprice , วันที่ 23 ก.ค. 62 เวลา 16:25:43 IP: Hide ip    


กด like เพื่อติดตามข่าวสารดีๆ
จาก cmprice.com
VVVVVV
ลิงก์ผู้สนับสนุน

ลิงก์ผู้สนับสนุน


 

© เนื้อหาข่าว/กระทู้

 

ความรัก การเมือง แลศักดิ์ศรี .. จึงบังเกิดเป็น เรื่องราวนิยายโศกนาฏกรรมรักอมตะ ที่เกิดขึ้นจริง อันแสนเศร้า ของเมืองลำพูน

ขอบคุณภาพ Warakorn Pix's

 

เมื่อประมาณเกือบ 100 ปีมาแล้ว   ที่บ้านหนองช้างคืน   มีหญิงสาวสวยผิวพรรณผุดผ่อง   กิริยาอัธยาศัยอ่อนโยน  รูปร่างสมส่วนอรชรอ้อนแอ้นสมเป็นหญิงสวย  ชื่อว่า “บัวตอง”   มีอาชีพทำนาทำสวน   ใช้ชีวิตตามแบบอย่างสตรีชาวเหนือโบราณ ต้องตำข้าวโดยใช้ครกกระเดื่อง  และใช้หูกทอผ้าใช้เอง   บางครั้งก็มีบ่าว(ผู้ชายที่ยังไม่แต่งงาน) มาเที่ยวหาสาวเพื่อเกี้ยวพาราสีเสมอๆ   ในบรรดาหนุ่มๆที่มาเที่ยว  นอกจากจะเป็นคนในละแวกบ้านเดียวกัน  ยังปรากฏว่ามีหนุ่มเชื้อเจ้าผู้ครองนครลำพูนมีชื่อว่า “เจ้าคุ้ม” หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า  “เจ้าน้อยพรหม”  เพราะตอนที่ท่านบรรพชาเป็นสามเณร  มีฉายาว่า “พรหมปญโญ”  เมื่อลาสิกขาบทแล้วจึงนิยมใช้คำว่า “น้อย” นำหน้าชื่อ  เป็น”เจ้าน้อยพรหม” ถ้าลาสิกขาบทจากพระภิกษุ  จะเรียกนาม “หนาน” นำหน้าชื่อ  ตามธรรมเนียมของชาวเหนือ

           เจ้าน้อยพรหมเป็นราชบุตรของเจ้าชัยลังกา  พิศาลโสภาคยคุณ   เจ้าผู้ครองนครลำพูนองค์ที่  6  กับเจ้าแม่หมอกแก้ว  และเป็นอนุชาต่างมารดาของเจ้าดาราดิเรกรัตน์ไพโรจน์   เจ้าผู้ครองนครลำพูนองค์ที่  7

          ในการเที่ยวหาสาวบัวตองของเจ้าน้อยพรหม   ปรากฏว่าทั้งสองคนเกิดชอบพอกันจนกลายเป็น " ตัวพ่อตัวแม่"(คู่รัก) ของกันและกัน  เจ้าน้อยพรหมจึงเป็นแขกประจำบ้านสาวบัวตองตั้งแต่นั้นมา  บัวตองก็ให้การต้อนรับเจ้าน้อยพรหมด้วยกิริยาอันอ่อนน้อมละมัย  ตามแบบสาวเหนือ  จนเป็นที่ต้องพระทัยของเจ้าน้อยพรหมเป็นอย่างยิ่ง   ส่วนเจ้าน้อยพรหมก็มีน้ำใจดีงาม   ให้การช่วยเหลือเกื้อกูลแก่สาวบัวตองเป็นอย่างดี   จะขัดใขบัวตองสักนิดก็หาไม่  ทั้งสองผูกสมัครรักใคร่กันอย่างดูดดื่มแน่นแฟ้น  ต่างก็ตั้งใจไว้อย่างแม่นมั่นว่า  จะครองรักกันและอยู่ร่วมกันจนกว่าวาระสุดท้ายแห่งชีวิตจะมาถึง

          วันหนึ่ง   มีช้างพังตัวหนึ่งเข้ามาอาละวาดในเขตนครลำพูนด้านทิศเหนือและล่องมาเรื่อยๆ จนถึงหมู่บ้านหนองช้างคืน  ช้างได้ทำลายครดกระเดื่อง  ฉางข้าว เรือกสวนไร่นาของชาวบ้าน  ได้รับความเสียหายประเมินค่าไม่ได้  วันนั้นเจ้าน้อยพรหมก็ได้มาบ้านสาวบัวตอง  เมื่อทราบข่าวของช้างทำลายข้าวของเสียหาย   เจ้าน้อยพรหมมิรอช้า  ก็คว้าดาบกระโดดออกจากบ้านสาวคนรักไปไล่ช้างตัวนั้น   ความประสงค์เพื่อป้องกันความเสียหายที่เกิดขึ้นกับชาวบ้าน   เจ้าน้อยพรหมจึงยกดาบขึ้นฟันช้างเชือกนั้น   เพื่อป้องกันตนเอง   ปรากฏว่าช้างวิ่งเตลิดไปอย่างไม่คิดชีวิตจนพ้นเขตบ้านหนองช้างคืน  และได้ถึงแก่ความตายในเวลาต่อมา

        ต่อมา เจ้าราชสัมพันธวงค์  ไปพักผ่อนที่บ้านภรรยา  ณ บ้านเมืองเลน  แคว้นสันทราย (อ.สันทรายปัจจุบัน)เจ้าแม่ทับทิพย์เกสรก็รับสั่งให้เจ้าราชสัมพันธวงค์  (อนุชาของพ่อเจ้าอินทรวิชยานนท์)  ให้มีสุภสาส์นในนามของพ่อเจ้าอินทรวิชยานนท์  ถึงเจ้าดาราดิเรกรัตน์ไพโรจน์   ความว่า  ขอส่งตัวเจ้าน้อยพรหมไปเชียงใหม่  เพื่อสอบสวนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการตายของช้างอีกครั้งหนึ่ง   ส่วนเจ้าดาราดิเรกรัตน์ไพโรจน์   ทรงคิดว่าไม่มีเรื่องอะไรอีก   เพราะได้จัดการลงโทษเจ้าน้อยพรหมดั่งเจ้าราชสัมพันธวงค์ทูลไว้แล้ว    จึงส่งตัวเจ้าน้อยพรหมไปเชียงใหม่  พร้อมกับคนเดินหนังสือคนนั้น  หวังจะให้เข้าเฝ้าพ่อเจ้าอินทรวิชยานนท์  ตามข้อความในสุภสาส์นฉบับนั้น

 



        การเดินทางจากลำพูนไปเชียงใหม่สมัยนั้น   ใช้เส้นทางผ่านหมู่บ้านหนองช้างคืน  ด้วย  และผ่านบ้านหัวฝาย  น้ำโจ้  ไปทางสุสานช้างคลาน  แล้วจึงถึงเชียงใหม่   ก่อนจะผ่านหมู่บ้านหนองช้างคืนไปนั้น  เจ้าน้อยพรหมก็ขอแวะบ้านบัวตองสาวคนรัก   เพื่อเป็นการบอกข่าวเดินทางไปเชียงใหม่ให้คนรักทราบ    ฝ่ายสาวบัวตองก็ได้อวยชัยอวยพรให้แก่เจ้าน้อยพรหม  โดยมีพวงมาลัยดอกมะลิอันหอมกรุ่นมอบให้เจ้าน้อยพรหม  ติดตัวยามเดินทาง  และทั้งสองก็ได้ล่ำลากันอย่างสุดซึ้ง  เหมือนจะเป็นการบอกลางร้ายและเก็บมาลัยดอกมะลิแนบใจไว้ที่กระเป๋าเสิ้ออกซ้าย    เจ้าน้อยพรหมได้มอบแหวนวงงามให้กับบัวตองไว้เช่นกัน    เมื่อถึงเชียงใหม่   เจ้าแม่ทับทิพย์เกษรกลับงดการสอบสวน   และรับสั่งเจ้าอุปราชบุญทวงค์ให้ประหารชีวิต   ก่อนที่เพชรฆาตจะลงดาบ   เจ้าน้อยพรหมได้เรียกนายหนังสือซึ่งเดินทางมาร่วมกันให้เข้ามาหา   แล้วมอบพวงมาลัยดอกมะลิไปให้สาวบัวตองแห่งบ้านหนองช้างคืน   เจ้าอุปราชบุญทวงค์พร้อมกับหนุ่มคนหาญ   จึงจัดการประหารชีวิตเจ้าน้อยพรหม   ณ   ทุ่งหัวคน   หรือหนองปลาสะเด็ด   ตำบลท่าวังตาล   อันเป็นดินแดนทหารของนครพิงค์นั่นเองทั้งนี้โดยมีหนานปัญญา   เป็นเพชรฆาตตัดคอเจ้าน้อยพรหมต่อหน้าเจ้าแม่ทับทิพย์เกษรในความผิดฐานฆ่า   "พังแม่คำปิ๋ว"   ดังกล่าว

         เจ้าดาราดิเรกไพโรจน์   เป็นเจ้าครองนครลำพูน   ทรงเสียพระทัยอย่างสุดซึ้งถึงกับไม่ยอมไปรับศพของเจ้าน้อยพรหม   เจ้าทับทิพย์เกษรจึงรับสั่งให้ฝังไว้   ณ   ที่ประหารนั้น   และการณ์นั้นได้ทราบถึงเจ้าสัมพันธวงค์   ก็ทรงเศร้าพระทัยอย่างสุดซึ้งเช่นกัน   ที่เจ้ามีส่วนแห่งการสิ้นชีวิตของเจ้าน้อยพรหม   ทั้งเจ้าดาราดิเรกรัตน์ไพโรจน์และเจ้าสัมพันธวงค์   ไม่ไปเยือนคุ้มของเจ้าแม่ทับทิพย์เกษร   ได้เหินห่างจากกันตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

         สุดแสนสงสารบัวตอง   สาวคนรักของเจ้าน้อยพรหม   เมื่อทราบข่าวการจากไปอย่างไม่มีวันกลับของเจ้าหนุ่มคนรัก   และได้พวงมาลัยดอกมะลิแห้งเฉาขิงเจ้าน้อยพรหมบัวตองก็ร้องไห้กลิ้งเกลือก พรางคร่ำครวญน่าเวทนายิ่งนัก   บัวตองสาวผู้ต่ำต้อยแห่งบ้านหนองช้างคืนคงคิดว่าถ้ามีชีวิตในโลกนี้จะมี ประโยชน์อะไร   ถ้าไม่มีผู้เป็นที่รัก   หรือ   บัวตองจะเกิดมาเพื่อรักเดียวใจเดียว   และถือความรักเป็นสรณะ   ในรุ่งของวันต่อมา   มีผู้พบดรุณีน้อยนางหนึ่งอยู่ในชุดดำผูกคอตายกับกิ่งไม้อย่างน่าสังเวชใจ   ในมือถือพวงมาลัยดอกมะลิพวงหนึ่ง   ที่นิ้วนางข้างซ้ายสอดสวมแหวนวงงาม   หญิงคนนั้นคื   "บัวตอง"   สาวคนรักของเจ้าน้อยพรหมนั้นเอง

         ถึงแม้กาลเวลาจะล่วงเลยไปชั่วอายุคนเศษแล้วก็ตาม   ที่ทุกวันนี้   หากอาคันตุกะคนใดไปเยือนหมู่บ้านหนองช้างคืน   หมู่บ้านพัฒนาอาสาสมัครแห่งลำพูน   นอกจากจะเห็นลำไยพันธุ์ดี   นารีงาม   น้ำไหล   ไฟสว่าง   ทางพัฒนาแล้ว   บางที่ท่านอาจจะได้ฟังนิยายรักอมตะอันแสนเศร้า   จากชีวิตจริงของหญิงสาวผู้ต่ำต้อยกับเจ้าน้อยพรหมผู้อาภัพแห่งหริภุญไชย นคร   และแล้วเขาจะให้สมญานามแก่หญิงสาวว่า

"บัวตอง...ผู้เกิดมาเพื่อรักเดียว...ใจเดียว"

 

โดย แม่ครูกัลยารัตน์ ณ วันจันทร์ (Kulyarat Na Vanjun)


และขอขอบคุณ อ.เพ็ญศรี  บุญทวี ที่ให้ข้อมูล

 

ภาพ wungfon.com

แสดงโฆษณา

 

"Vorbereitungen für Hinrichtungen in Siam"
Burger, Wilhelm 1869
   กรณีประหารชีวิตเจ้านายเมืองลำพูน   "มีอยู่คืนหนึ่งข้าหลวงที่มีอำนาจเป็นลำดับที่สามของสยามได้นั่งช้างผ่านเมืองลำพูน และมีคนมาแทงช้างของข้าหลวงจนเป็นบาดแผลฉกรรจ์

         เรื่องก็มีอยู่ว่าก่อนหน้านี้ไม่นานน้องชายของเจ้าหลวงเมืองลำพูนได้ไปเล่นการพนันที่บ่อนในเมืองแล้วมีเรื่องทะเลาะกับคณะผู้ติดตามของข้าหลวงชาวสยามจึงตกเป็นผู้ต้องสงสัยโดยปริยาย อีกทั้งเจ้าชายหนุ่มผู้นี้มีนิสัยเกเรแตกต่างจากเจ้านายคนอื่นทั่วไปจึงต้องเป็นคนร้ายอย่างแน่นอน
         เรื่องไปถึงพระยาราชเสนาและเจ้าหลวงเมืองเชียงใหม่ ซึ่งเจ้าหลวงเชียงใหม่พิโรธมากเพราะช้างเชือกนั้นเป็นช้างของพระองค์ เจ้าชายหนุ่มเมืองลำพูนต้องถูกลงโทษตามกฎหมายด้วยข้อหาดังนี้ ๑.สบประมาทข้าหลวงซึ่งเป็นตัวแทนของสยาม ๒.ทำร้ายช้างของเจ้าหลวง ๓.ประพฤติตัวเป็นคนพาล และ ๔.ต้องหาคนมาลงโทษให้ได้ (แพะรับบาป)

           เจ้าหลวงเมืองลำพูนนั้นพยายามแก้ต่างและแจงว่าน้องชายเป็นผู้บริสุทธิ์ แต่เจ้าหลวงเมืองเชียงใหม่ไม่ยอม เจ้าชายหนุ่มต้องถูกประหารชีวิตเท่านั้น เจ้าหลวงเมืองลำพูนคิดว่าน้องชายนั้นนำความอัปยศอดสูมาให้ จึงไม่นำศพกลับเมืองลำพูน แต่จะฝังไว้ในวัดท่าวังตาลที่อยู่ใกล้ลานประหารนอกกำแพงเมือง

          เช้าตรู่ของวันที่ ๑๗ มกราคม ผมรู้ข่าวมาว่าจะมีการประหารชีวิตเจ้านายเมืองลำพูน จึงรีบออกไปชมการประหารที่น่าสยดสยองครั้งนี้ ทั่วทั้งเมืองเงียบกริบเพราะผู้คนต่างไปยังลานประหารกันเกือบหมด ถึงแม้ว่าในเมืองเชียงใหม่มีการประหารชีวิตอยู่บ่อยครั้ง แต่การประหารชีวิตเจ้านั้นถือว่าเป็นกรณีพิเศษ               ผมเดินข้ามทุ่งนาไปยังลานประหารอย่างเร่งรีบ จากที่พักไปยังลานประหารนั้นใช้เวลาเดินเพียง ๑ ชั่วโมงเท่านั้น เมื่อมาถึงครึ่งทางผมก็เห็นขบวนช้าง ๑๕ ถึง ๒๐ เชือก ซึ่งแต่ละเชือกก็มีขนาดใหญ่มาก มีทหารนับ ๑๐๐ คน เดินขนาบข้าง มีทหารม้าอยู่ในขบวนเพียงสองสามคน ปรากฏว่าขบวนช้างเพิ่งกลับมาจากลานประหาร และการประหารชีวิตเจ้าชายหนุ่มนั้นก็เสร็จสิ้นแล้ว แต่ผมก็ไม่หันหลังกลับ

           เมื่อเดินไปถึงลานประหารก็เห็นเจ้าหน้าที่ ๒ คนกำลังขุดหลุมตื้นๆ กันอยู่ ใกล้กันเป็นศพที่ถูกตัดหัวแล้ว ร่างของเจ้าชายหนุ่มมีรอยสักที่งดงาม อีกทั้งร่างกายก็ได้สัดส่วน ก่อนหน้านี้เพียงไม่กี่นาที เจ้าชายหนุ่มยังคงเป็นชายหนุ่มรูปงาม ร่างกายแข็งแรง แต่เวลานี้เหลือแต่ร่าง มีผ้าพันศพอย่างง่าย ดูแล้วชวนให้อดสู และอีกไม่ช้าก็คงถูกโยนลงหลุม

          ร่างของเจ้าชายหนุ่มถูกฝังอยู่ในป่าช้า ปราศจากเกียรติยศใดๆทั้งสิ้น ผมเข้าไปวิเคราะห์ศพของเจ้าชายหนุ่มอย่างละเอียดก็พบว่าครั้งแรกนั้นเพชฆฌาตฟันพลาด เพราะมีรอยฟันลึกอยู่ที่ไหล่ข้างซ้าย

          ศีรษะของเจ้าชายหนุ่มนั้นวางคว่ำอยู่ใกล้กัน เจ้าชายหนุ่มมีใบหน้าที่หล่อเหลาทีเดียว อายุประมาณ ๒๐ ปี ใบหน้านั้นสงบ เยือกเย็น ปราศจากความหวาดกลัวหรือเจ็บปวดจากการฟันที่ผิดพลาดในครั้งแรกเลย

          บริเวณลานประหารนั้นมีหลุมศพอยู่มากมาย แต่ไม่เหมือนหลุมศพในประเทศตะวันตกที่เห็นจนชินตา ศพถูกฝังอย่างตื้นๆ เมื่อฝนตกน้ำคงท่วมขัง บรรดานักโทษนอนพักผ่อนเป็นครั้งสุดท้ายโดยมีดินกลบหน้าเพียงสองสามนิ้วเท่านั้น ศพจะสลายกลายเป็นฝุ่นดินถ้าอีแร้งไม่มารุมทึ้งกินซากศพเสียก่อน

         เมื่อมองไปรอบๆ ก็เห็นไม้หรือซุงปักทำเป็นรูปกากบาทอย่างง่าย คล้ายไม้กางเขนปักอยู่ เมื่อมองตอนแรกก็เข้าใจว่าเป็นป้ายหลุมศพเหมือนในป่าช้าของคริสเตียน อันที่จริงไม้ดังกล่าวมีรูปทรงเป็น Y มากกว่า T หรือกางเขนเสียอีก ใกล้กับศพของเจ้าชายหนุ่มนั้นเป็นเเอ่งเลือด สุดท้ายผมจึงเข้าใจว่าไม้กากบาทนั้นก็คือหลักประหารนั่นเอง...

          ผมไม่รู้ว่าหลุมศพและเลือดของผู้บริสุทธิ์ในป่าช้านั้นมีมากมายเท่าใด และผมขอกล่าวว่าความผิดของเจ้าชายหนุ่มที่ถูกประหารชีวิตในครั้งนี้มีมูลความจริงน้อยมาก ...สุทธิศักดิ์ถอดความ         **********************************


      Temples and elephants : the narrative of a journey of exploration through upper Siam and Lao
      Carl Bock
      London S. Low 1884
      **********************************
      ภาพประกอบ         นักโทษก่อนการประหารชีวิตในสยาม         "Vorbereitungen für Hinrichtungen in Siam"
      Burger, Wilhelm 1869

แสดงโฆษณา

 


Copy Link : ท่านสามารถ copy ลิงค์ของข่าวนี้เพื่อเผยแพร่ต่อได้
แชร์หน้านี้ ไปยัง facebook ตอบกลับกระทู้นี้ VV กดถูกใจกระทู้นี้ VV


ลิงก์ผู้สนับสนุน

ลิงก์ผู้สนับสนุน

 

 

 

 

 



แจ้งลบกระทู้นี้

อ่าน 1650

แสดงความคิดเห็น โดย โน้ต cmprice IP: Hide ip , วันที่ 23 ก.ค. 62 เวลา 16:25:43
 

 

จำหน่าย ผ้าพันคอ ผ้าคลุมไหล่ ผ้าฝ้ายทอมือ ราคาส่ง ราคาถูก เริ่มต้นที่ 25 บาท/ผืน ผลิตจากผ้าฝ้ายแท้ 100%โซ่สเตอร์และวงล้ออลูมิเนียม ดี.ไอ.ดี ถูกผลิตขึ้นโดยเทคโนโลยีของประเทศญึ่ปุ่น และส่งไปยังผู้ประกอบการรถมอเตอร์ไซค์ทั่วโลกเครื่องฟอกอากาศ pm2.5 Oxygen สุดคุ้ม ราคาถูก 1,490 ลำพูน-เชียงใหม่ ส่งฟรี!
www.cmprice.com เว็บไซต์ที่คนเข้าชมมากที่สุดในเชียงใหม่ !!! เห็นชัด เห็นบ่อย ตรงกลุ่มเป้าหมาย เพียง 1500 บาทต่อเดือน
สนใจลงโฆษณาตรงนี้ ติดต่อ 080-500-1180

 

 
กรุณาอ่าน
ข้อความที่ท่านได้อ่าน เกิดจากการเขียนโดยสาธารณชน และส่งขึ้นมาแบบอัตโนมัติ เจ้าของเว็บบอร์ดไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆทั้งสิ้น เพราะไม่สามารถ ระบุได้ว่าเป็นความจริงหรือชื่อผู้เขียนที่ได้เห็นคือชื่อจริง ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใด ที่ขัดต่อกฎหมายและ ศีลธรรม หรือเป็นการกลั่นแกล้งเพื่อให้เกิดความเสียหาย ต่อบุคคล หรือหน่วยงานใด กรุณาแจ้งมาที่ 08-0500-1180 เพื่อให้ผู้ควบคุม ระบบทราบและทำการลบข้อความนั้น ออกจากระบบต่อไป
 
 
 


ปิดโฆษณานี้X

ผ้าพันคอราคาถูก

ปิดโฆษณานี้X

จำหน่าย ผ้าพันคอ ผ้าคลุมไหล่ ผ้าฝ้ายทอมือ ราคาส่ง ราคาถูก เริ่มต้นที่ 25 บาท/ผืน ผลิตจากผ้าฝ้ายแท้ 100%โซ่สเตอร์และวงล้ออลูมิเนียม ดี.ไอ.ดี ถูกผลิตขึ้นโดยเทคโนโลยีของประเทศญึ่ปุ่น และส่งไปยังผู้ประกอบการรถมอเตอร์ไซค์ทั่วโลกเครื่องฟอกอากาศ pm2.5 Oxygen สุดคุ้ม ราคาถูก 1,490 ลำพูน-เชียงใหม่ ส่งฟรี!
www.cmprice.com เว็บไซต์ที่คนเข้าชมมากที่สุดในเชียงใหม่ !!! เห็นชัด เห็นบ่อย ตรงกลุ่มเป้าหมาย เพียง 1500 บาทต่อเดือน
สนใจลงโฆษณาตรงนี้ ติดต่อ 080-500-1180

 


หน้าแรก l หางานเชียงใหม่ | ตลาดออนไลน์ | เว็บบอร์ด | อัตราค่าลงโฆษณา | ลงโฆษณาฟรี ประกาศฟรี | ติดต่อเรา


เพื่อนบ้านเราทั้งหมด วิธีแลก Link

© cmprice.com since 14 Jan 2005
E-mail: info@cmprice.com
FaceBook : facebook.com/cmprice.fc
TEL. 08-0500-1180
Line id: cmprice









www.cmprice.com ที่นี่มีสิ่งดีๆ รอคุณอยู่
ผู้สนับสนุน แบบพิเศษ

บ้านหนองช้างคืน | เครื่องฟอกอากาศ เชียงใหม่-ลำพูน | ผ้าพันคอราคาถูก | ของชำร่วย | ลงโฆษณาฟรี ประกาศฟรี