ทั้งนี้ ในเฟซบุ๊คนิ้วกลม ที่ชื่อ Sarawut Hengsawad
ได้เขียนสเตตัสที่น่าสนใจไว้ดังนี้
หรือเราไม่ควรคาดหวังความทุ่มเทจากคนรุ่นใหม่อีกต่อไปแล้ว
---
ที่จริงวันนี้เพิ่งเขียนบทความเรื่อง Slow Life ไป ในนั้นอาจมีอะไรเกี่ยวพันกับสิ่งที่จะชวนคุยในสเตตัสนี้อยู่เหมือนกัน ไว้ตีพิมพ์แล้วค่อยเอามาแปะ เอาล่ะเข้าเรื่อง...เท่าที่พบเจอหนุ่มๆ สาวๆ ในวัย 20-25 ปี พอจะจับความต้องการในชีวิต (ช่วงนี้) ของพวกเขาได้ว่า ในภาพรวมพวกเขาไม่ได้ให้น้ำหนักกับการงานมากเท่าคนรุ่นเรา (ไม่ต้องนับรุ่นที่แก่กว่าเรา) ซึ่งไม่ได้หมายความว่าพวกเขาผิดบาปอะไร เพราะทั้งเขาและเราก็เป็นผลผลิตของยุคสมัยไปคนละแบบ
ประเด็นคือ หากเรายังคาดหวังความทุ่มเท ใส่ใจ หามรุ่งหามค่ำเพื่อองค์กร เพื่อบริษัท หรืออะไรทำนองนั้น โดยตั้งเป้าเอาไว้ในเกณฑ์เดียวกันกับคนรุ่นเรา ก็มีโอกาสมากที่จะผิดหวัง
ส่วนตัวแล้วคิดเรื่องทีมเอ ทีมบี มานานแล้ว กะว่าในอนาคตหากยังจะมีพนักงานออฟฟิศ บริษัททั้งหลายอาจต้องจ้างพนักงานแบบสลับกันทำงาน เช่น ทีมเอทำจันทร์ถึงพุธ แล้วทีมบีมาต่อพฤหัสศุกร์เสาร์ หรือทีมเอทำงานเดือนคี่ ทีมบีทำงานเดือนคู่ หรือผลัดกันคนละไตรมาส หรือจะจัดสรรยังไงก็แล้วแต่ หลักการคือไม่มีใครทำงานยาวๆ ต่อเนื่องโดยไม่ได้หยุดไปเที่ยว ไม่ได้มีโอกาสไปลั้นลาหาความสุขอย่างอื่นใส่ชีวิต
เพียงแค่นี่อาจอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน บริษัทต่างๆ ยังคาดหวังจากพนักงานเช่นเดิม แต่พนักงานไม่ได้คาดหวังกับตัวเองต่อหน้าที่การงานเหมือนเดิมแล้ว ดูเหมือนพวกเขาคาดหวังกับชีวิตในนิยามที่กว้างกว่าการงาน คือใฝ่หาความสุข การเดินทาง การผจญภัย และงานอดิเรกต่างๆ นานา ที่สำคัญ ครอบครัวของพวกเขาก็มั่นคงพอที่พวกเขาจะรู้สึกสบายๆ กับการไม่ทำงานสักปีสองปี (หลังจากนี้หลายๆ ปี อันนี้ไม่รู้นะ)
ไล่ดูหน้าฟีดของหนุ่มๆ สาวๆ มีภาพท่องเที่ยวขึ้นตลอดเวลา รวมถึงคนรุ่นเราๆ ด้วย
ความรู้สึกต่อการรับผิดชอบชีวิตน่าจะต่างไปพอควร พ่อแม่ทำงานหาเงินไว้พอสมควรแล้ว คนรุ่นลูกก็ไม่ต้องทำงานหนักเพื่อเก็บเงินไปดูแลรักษาพ่อแม่ตอนป่วย (พ่อแม่ดูแลตัวเองกันได้อยู่แล้ว) แถมความคิดอยากมีลูกก็ลดน้อยลงไปเรื่อยๆ กระทั่งแต่งงานก็อาจจะน้อยลงด้วยซ้ำไหมหว่า จึงไม่ต้องห่วงอนาคตหรือวางแผนมากมายอะไร
ชีวิตผูกกับคนนู้นคนนี้น้อยลง ไลฟ์สไตล์ที่อยู่เดี่ยวมากขึ้น คอนโดฯ หรือกระทั่งในบ้านเดียวกับพ่อแม่ แต่ก็ "เดี่ยว" ออกมากว่าแต่ก่อนมาก ทำให้ไม่รู้สึกว่าจะต้องแบกรับความรับผิดชอบอะไรมากมายนัก
ชีวิตจึง "พลิ้ว" ได้พอดู
ครั้นจะกักขังตัวเองไว้กับงานหนักในออฟฟิศก็ฝืนใจไม่ได้นาน ในเมื่อคุณค่าของชีวิตสำหรับพวกเขาไม่ใช่เรื่อง "งาน" เพียงอย่างเดียว แต่มันหมายถึง "การใช้ชีวิต" "สนุกกับประสบการณ์" "ความสุขในวันนี้" "เกิดมาครั้งเดียว เอาให้คุ้ม" อะไรทำนองนั้น
ทั้งหมดนี้ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาแปลกประหลาดอะไร แค่คิดว่าผู้ใหญ่จะปรับเปลี่ยนตัวเองยังไงเพื่ออยู่ร่วมและทำงานกับคนส่วนใหญ่ในรุ่นนี้ ไม่ใช่ไม่เก่งนะ คนรุ่นนี้โคตรเก่งเลย แต่เขาไม่ได้อยากใช้ความเก่งไปกับอะไรเดิมๆ ซ้ำๆ และไม่ได้มุ่งหวังเป็นที่หนึ่งอะไรขนาดนั้นอีกต่อไปแล้วเท่านั้นเอง
แค่คิดขึ้นมา เลยอยากแชร์กับเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ อยากรู้ว่าคิดเห็นกันเช่นไรในประเด็นนี้ครับ
ทั้งนี้ ผู้ร่วมแสดงความเห็นในคอมเมนต์มีหลากหลาย อาทิ
ผู้กำกับภาพยนตร์ มะเดี่ยว ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล โพสต์คอมเมนต์ว่า
"มันก็ไม่ได้เปนทั้งรุ่นนะฮะ ในออฟฟิศมีคนรุ่นนี้เยอะ
บางคนก็ชอบความมั่นคง ชอบงานที่อยู่กับที่และใช้ทักษะสูง
บางคนเป็นเหมือนที่พี่บอก คือชอบการมีชีวิตดีๆในเฟซโชว์ชาวบ้านมากกว่าจะฝึกฝนตัวเองให้จริงจัง
เทคโนโลยีช่วยคนรุ่นนี้ไว้เยอะ แต่รสนิยมและฝีมือ ต้องใช้เวลาสั่งสม จะมาเก่งกันโดยทางลัดนี่ไม่มี ดังนั้นคนรุ่นเราๆยังอยู่ไปได้อีกนาน กว่าน้องๆจะตามทัน เพราะเขายังต้องเจียดเวลาไปท่องเที่ยว ถ่ายรูป ใดๆ
แต่กับอีกพวกนี่เก่งคือเก่งมาก หมกมุ่น ขวนขวายหาความรู้ ฝึกฝน จนเก่งเฟ่อ กูตามไม่ทันแล้ววว พวกนี้คือความหวังของโลก แต่คือคู่แข่งของเรา 555
น้องคนช่างชาติเคยกล่าวกับเราในประเด็นนี้ เค้าบอกว่า คนไทยชอบมองที่ผลของมันก่อน ทุกชอบพูดว่าทำอาชีพนั้นนี้แล้วรวย แต่ไม่มีใครจะพูดถึงว่าระหว่างทางไปรวยมันจะยังไง แล้วพอลงมือทำจริง ถึงจุดหนึ่งก็ถอดใจเปลี่ยนเป้าหมายไปหาอะไรที่รวยกว่า แล้วก็วนลูปอยู่อย่างนี้
เหมือนแยกชีวิตจริงกับชีวิตในเฟศไม่ออก
และเหมือนแยกงานจริงๆ กับงานอดิเรกไม่ออก
อะไรประมาณนี้ล่ะฮ่ะ
อุรุดา โควินท์ นักเขียน โพสต์คอมเมนต์ว่า
"พี่ก็คิดนะ ว่าหนุ่มสาวน้อยในวันนี้เก่งกว่าพี่(ตอนนี้)มาก ไม่ต้องพูดถึงพี่ตอนอายุเท่ากันเลย พี่ชิดขอบเลย แต่พี่อึดมากอ่ะ คือพ่อแม่เลี้ยงให้อึด ถึก"
"พี่ว่าอย่างนี้มั้ยเอ๋ ความต่างอย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัดนะ คือตอนคนรุ่นแม่พี่เลี้ยงพี่อ่ะ เลี้ยงลูกให้เป็นแรงงานนะ (เหมือนสังคมเกษตรกร555) ตั้งแต่เล็ก พี่ชินกับการทำอะไรที่ไม่อยากทำนัก แต่เป็นหน้าที่ แล้วอะไรที่พี่เลือกแล้ว แต่มาเบื่อตอนหลัง พี่ก็ยิ่งต้องทำ เพราะพี่เลือกเอง (เพื่อนๆ พี่ก็ถูกเลี้ยงแบบนี้นะ) ไม่รู้โชคดีโชคร้าย แต่ก็อยู่ได้เพราะถึกนี่อ่ะเอ๋ ไม่ใช่อย่างอื่นเลย
ที่มา เฟซบุ๊ค Sarawut Hengsawad
http://www.facebook.com/roundfinger/posts/10153438995519579?fref=nf&pnref=story