• กรมวิชาการเกษตร หวังดี หรือ คอรัปชั่นแอบแฝง |
โพสต์โดย พี , วันที่ 12 ก.พ. 52 เวลา 16:23:49 IP: Hide ip |
กด like เพื่อติดตามข่าวสารดีๆ จาก cmprice.com VVVVVV
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
ลิงก์ผู้สนับสนุน
© เนื้อหาข่าว/กระทู้
การที่กรมวิชาการเกษตรได้ขึ้นบัญชีวัตถุอันตราย กลุ่มสมุนไพรไทย อาทิเช่น สะเดา หนอนตายอยาก บอระเพ็ด ซึ่งกำลังถูกโจมตีอย่างหนักในขณะนี้ แท้ที่จริงแล้วปรารถนาดีต่อเกษตร หรือคอรัปชั่นแอบแฝงเพื่อช่วยธุรกิจข้ามชาติที่จำหน่ายสารเคมีอันตรายกันแน่
ความจริงเรื่องนี้ถกกันมากว่า2ปีแล้ว กรมวิชาการเกษตรตั้งท่าจะประกาศเป็นวัตุอันตรายหลายครั้งแล้ว แต่ตอนนั้นรัฐมนตรีธีระ สูตบุตร ผู้มีหัวใจเกษตรอินทรีย์ค้านหัวชนฝาเรื่องจึงต้องพับไป จนมารัฐมนตรีสมศักดิ์ ปริศนานันทกุลก้ไม่กล้า เพราะรู้ว่าจะต้องถูกต่อต้านอย่างรุนแรงจากหลายกลุ่ม จึง สั่งเบรคไว้เพราะตัวเองยังต้องเล่นการเมือง คะแนนนิยมเป็นสิ่งสำคัญ จนมาล่าสุด กรรมการบริหารพรรคชาติไทยถูกสอย นายสมศักดิ์ต้องพ้นตำแหน่ง จึงได้มวยแทนชั่วคราวอย่าง นายธีระ วงค์สมุทร อดีตอธิบดีกรมชลประทาน มานั่งเก้าอี้ รมต.เกษตร จึงได้มีประกาสในราชกิจจานุเบกษา กำหนดรายการวัตถุอันตรายกลุ่มนี้ขึ้นมา
เหตุผลของกรมวิชาการเกษตร บอกว่าปรารถนาดีต่อเกษตรกร เพราะป้องกันพ่อค้าฉวยโอกาสเอาเปรียบเกษตรกร ผลิตมาขายโดยไม่มีการควบคุมคุณภาพ เพราะฉะนั้นถ้ามีการประกาศเป็นวัตถุอันตรายแล้ว ถ้าใครต้องการผลิต ต้องมาขอขึ้นทะเบียนก่อนซึ่งในการขึ้นทะเบียนต้องบอกกรรมวิธีการผลิต บอกสูตร แล้วคณะกรรมการในกรมวิชาการเกษตรจะพิจารณาเองว่าจะให้จดทะเบียนหรือไม่
ฟังดูก็เหมือนดี สินค้าที่ออกมาขายก็จะมีมาตรฐานระดับหนึ่งเกษตรกรก็จะซื้อของที่มีคุณภาพที่ผ่านการพิจารณาแล้วเอาไปใช้
แต่ในทางปฏิบัติ การที่จะขอขึ้นทะเบียนวัตถุอันตราย ถ้าไม่ใช่บริษัทใหญ่แต่เป็นหน่วยงานเล็กๆ บริษัทเล็กๆ โคตรช้า 2ปีใบอนุญาตก็ยังไม่ออก ยิ่งเป็นกลุ่มสมุนไพรด้วยแล้ว มาตรฐานการตรวจวิเคราะห์ก็ยังไม่กำหนด จึงเป้นจุดเปราะบางมากๆที่จะเกิดคอรัปชั่นในคณะกรรมการออกใบอนุญาต
เมื่อปีที่ผ่านมา กรมวิชาการเกษตร ได้กำหนดมาตรฐานปุ๋ยชีวภาพมาครั้งหนึ่งแล้ว โดยใช้มาตรฐานของปุ๋ยเคมีมาเทียบเคียง ซึ่งตอนนี้นเราได้เขียนบทความตำหนินักวิชาการในกรมวิชาการเกษตรว่าปัญญาอ่อน เพราะปุ๋ยทั้งสองชนิดนี้มีกรรมวิธีการทำงานต่างกัน ปุ๋ยเคมีปริมาณธาตุอาหารหลัก(N P K)คงที่แต่ปุ๋ยชีวภาพ จะแปรผันตามสภาพความชื่น อุณหภูมิ และชนิดของวัตถุดิบที่ผลิต
เราเคยแนะนำว่า ถ้าจะควบคุมคุณภาพปุ๋ยชีวภาพจริงๆให้คุมที่ กฏหมายว่าด้วยฉลาก โดยให้ผู้ผลิตแจ้งสารประกอบอินทรีย์และระยะเวลาการหมักไว้ในฉลาก แล้วกรมวิชาการเกษตรก็ออกมาตรฐานอินทรีย์วัตถุว่า แต่ละชนิดมีปริมาณ ธาตุอาหารกี่เปอร์เซนต์ เช่นซากกากถั่ว มี ไนโตรเจน3% ซากซังเข้าโพด มีไนโตรเจน0.15% เป็นต้นแล้วก็ให้ความรู้เกษตรกรว่าก่อนซื้อให้ดูฉลาก ในขณะเดียวกันกรมวิชาการเกษตรก็ตรวจโรงงาน ดูว่ามีการซื้อวัตถดิบตามสัดส่วนที่ผลิตปุ๋ยหรือไม่ ใช้การบูรณาการเป็นระบบอย่างนี้ก็จะสามารถควบคุมคุณภาพได้
แต่ปรากฏว่า กรมวิชาการเกษตร กลับใช้มาตรฐานของปุ๋ยเคมี ซึ่งเจ้าของลิขสิทธิ์เป็นบริษัทข้ามชาติ เรื่องการใช้มาตรฐานของปุ๋ยเคมี มาจับวัดมาตรฐานปุ๋ยชีวภาพนี้ เป็นความโง่เขลาของข้าราชการไทยที่เป็นตัวถ่วงทำให้ประเทศไม่สามารถแข่งขันได้ ตรงนี้ขอยกตัวอย่าง ปรัชญาของอดีต นายกฯทักษิณ ชิณวัตร ที่ว่า"ถ้าต้องเข้าสู่การแข่งขัน จงอย่าใช้กติกาของศัตรู เพราะคุณจะเสมอกับแพ้เท่านั้น"
แต่กรมวิชาการเกษตร ใช้กติกาต่างชาติ มาตรฐานต่างชาติมากำหนดตีกรอบ ทั้งๆที่ สะเดา พลับพลึง หนอนตายอยาก ขิง ข่า ตระใคร้ฯลฯ เหล่านี้เป็นภูมิปัญญาของเราเอง เพราะฉะนั้นถ้าจะกำหนดมาตรฐานอะไรก็ตาม เราต้องเป็นผู้ออกมาตรฐานเท่านั้น
ถ้าใครเคยสัมผัสกับนักวิชาการในกรมวิชาการเกษตร จะรู้เลยว่าด้อยวิสัยทัศน์ การบริหารจัดการเชิงประสิทธิภาพไม่มี ถ้าไม่เชื่อลองเดินขึ้นไปที่สำนักงานเกษตรอำเภอใกล้บ้านดูแล้วลองปรึกษา จะรู้เลยว่าส่วนใหญ่สมองกลวง( ตรงนี้ผมขอท้าคนในกรมวิชาการเกษตร มาโต้กันได้ครับ)
การกระทำของกรมวิชาการเกษตร ในครั้งนี้ขอฟันธงว่า กีดกันผลผลิตที่เป็นภูมิปัญญาของชนในชาติ เพื่อให้ประโยชน์แก่บริษัทข้ามชาติ เพราะถ้าของไทยผลิตจนมีคุณภาพขึ้นมา สารเคมีจากต่างชาติก็จะขายลดลง
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
|
|
|
แจ้งลบกระทู้นี้
อ่าน 4955 |
|
แสดงความคิดเห็น |
โดย พี
IP: Hide ip
, วันที่ 12 ก.พ. 52
เวลา 16:23:49
|