| • ทักษิณ ชินวัตร ..บรูตุส..แห่งสยามประเทศ |
|
โพสต์โดย พี , วันที่ 29 เม.ย. 52 เวลา 11:14:50 IP: Hide ip |
กด like เพื่อติดตามข่าวสารดีๆ
จาก cmprice.com
VVVVVV
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
|
ลิงก์ผู้สนับสนุน
© เนื้อหาข่าว/กระทู้
บรูตุส (Marcus Junius Brutus) เกิดเมื่อก่อนคริสต์ศตวรรษปีที่ 85 (85 BC) หรือกว่า 2000 ปีในกรุงโรม มีความเชื่อว่าบรูตุสเป็นลูกนอกสมรสของจักรพรรดิ จูเลียส ซีซาร์ (Gaius Julius Caecar) เนื่องจากแม่ของบรูตุส คือนางซีพิโอนิส (Servilia Caepionis) ในภาษาปัจจุบันก็อาจเรียกได้ว่าเป็นกิ๊กคนหนึ่งของซีซาร์ โดยความเชื่อดังกล่าวนี้นักประวัติศาสตร์พิจารณาจากพฤติกรรมที่ จักรพรรดิจูเลียส ซีซาร์ กระทำต่อ บรูตุส ในลักษณะที่พ่อมีต่อลูก โดยให้ความเมตตาเป็นพิเศษและสนับสนุนให้มีตำแหน่งสูง ทั้งๆที่ บรูตุส กระทำตนอยู่ฝ่ายตรงข้าม
บรูตุสสร้างตัวเองมาจากการปล่อยเงินกู้และนำพาตนเองเข้าสู่วงการเมือง เมื่อสงครามกลางเมืองระหว่างปอมเปอีย์ กับ จักรพรรดิ จูเลียส ซีซาร์ อุบัติขึ้นเมื่อปีที่ 49 ก่อนคริสตกาล บรูตุส เลือกอยู่กับฝ่ายปอมเปอีย์ เมื่อจักรพรรดิจูเลียสซีซาร์ทราบก็ได้ให้ความเมตตากับบรูตุสเป็นอย่างมาก โดยออกคำสั่งกับทหารใต้บังคับบัญชาว่า หาก บรูตุส มอบตัวโดยสมัครใจก็ให้จับเป็นเชลย และหาก บรูตุส ต่อสู้ก็มิให้ทำร้ายจนถึงแก่ชีวิต ภายหลังสงคราม ฝ่ายปอมเปอีย์พ่ายแพ้ บรูตุสได้ทำจดหมายที่มีเนื้อหาว่า "เขาเป็นผู้ที่สนับสนุนประชาธิปไตย" และขอโทษต่อ จูเลียส ซีซาร์ และซีซาร์ก็ได้ให้อภัยโทษต่อ บรูตุส ในทันที
ซีซาร์ได้รับ บรูตุส เป็นบุตรบุญธรรม และสนับสนุนให้ได้มีตำแหน่งในวงการเมืองโดยหารู้ไม่ว่านี่คือที่มาของจุดจบของจักพรรดิที่ยิ่งใหญ่ของโรมในเวลาต่อมา
แผนการลอบสังหารซีซาร์เกิดขึ้นในปีที่ 44 ก่อนคริสตกาล โดยเหล่านักการเมืองหลายคน และบรูตุสก็เป็นอีกคนหนึ่งที่เข้าร่วมด้วย ซึ่งเป็นการลอบสังหารที่เลือดนองแผ่นดิน ในช่วงที่บรูตุสจ้วงแทงซีซาร์ ได้ปรากฏคำพูดวลีหนึ่งที่จักรพรรดิ จูเลียส ซีซาร์ได้เอ่ยกับ บรูตุส ผู้ที่กำลังจะจ้วงแทงพระองค์ ซึ่งพระองค์มีเมตตาให้อภัยโทษและชุบเลี้ยง ว่า "เจ้าก็เอากับเขาด้วยหรือบรูตุส" Et tu, Brute? (and you Brutus?)
จุดจบของบรูตุสมาถึงเมื่อเกิดสงครามระหว่าง มาร์ก แอนโทนี และจักรพรรดิออคเตเวียน เมื่อบรูตุสทราบว่ากองทัพของทั้ง 2 ฝ่ายมีขนาดไม่พอพียงที่จะรักษากรุงโรมเอาไว้ได้ บรูตุส จึงทำตัวเป็น "ตาอยู่" โดยยกทัพบุกเข้าโรม ทำให้มาร์ก แอนโทนี และจักพรรดิออคเตเวียนหันหน้าจับมือกันเพื่อต่อสู้กับ บรูตุส จนพ่ายแพ้และต้องฆ่าตัวตายในที่สุด
พฤติกรรมของ บรูตุส ที่กระทำต่อ จักรพรรดิ จูเลียส ซีซาร์ และผู้อื่นๆ จึงได้ชื่อว่าเป็นพฤติกรรมของคนทรยศกระทำต่อผู้มีพระคุณ ที่โด่งดังคนหนึ่งของโลก และได้รับการเล่าขานมาโดยตลอดจนถึงปัจจุบัน
เวลาได้ผ่านไปกว่า 2000 ปี แต่ประเทศไทยในยุคที่มี ทักษิณ ชินวัตร เข้ามามีบทบาท จะมีพฤติกรรมเยี่ยง บรูตุส ปรากฏขึ้นมาในสังคมหรือไม่ และในลักษณะเช่นใด อยากให้ลองพิจารณาดูกัน
เหตุการณ์ความไม่สงบที่ได้เกิดขึ้นทั้งในกรุงเทพฯ และพัทยา ในช่วงก่อนสงกรานต์ ได้ก่อให้เกิดจุดเปลี่ยนของประเทศไทยอย่างที่ไม่สามารถที่จะคาดคิดได้ว่า ถึงขนาดมีคำพูดของ ทักษิณ ชินวัตร ต่อ อริสมันต์ พงษ์เรืองรอง ที่ไปปฏิบัติการ นำคนเสื้อแดงประท้วงการประชุมอาเซี่ยน โดยมุ่งหมายแต่เพียงยื่นหนังสือ ต่อตัวแทนที่เป็นชาวต่างประเทศแล้ว ยกขบวนกลับ แต่พอระหว่างเดินทางกลับ มีวลีของ ทักษิร ชินวัตร ต่อ อริสมันต์ว่า"ใหนๆมาแล้ว ควรจะได้อะไรติดไม้ติดมือบ้าง" ผลก็คือ อริสมันต์ พามวลชนกลับไปที่ประชุมและบุกเข้าไปในโรงแรม จนทำให้ต้องยกเลิกการประชุม
ภายหลังการปฏิวัติเมื่อ 19 ก.ย.49 ทักษิณ ชินวัตร กลับเข้ามาในประเทศไทยอีกครั้งหนึ่ง เมื่อเขาสามารถจัดตั้งรัฐบาลตัวแทนนำโดยสมัคร สุนทรเวช ที่เอื้อประโยชน์ต่อเขาในการต่อสู้ข้อกล่าวหาที่ คตส.ได้กล่าวหาเขาไว้หลายคดี ทางเลือกในเวลานั้นได้ถูกประเมินแล้วว่ามีอยู่หลายทาง ไม่ว่าจะโดยการต่อสู้ในทางคดี หรือการแก้ไขรัฐธรรมนูญในบางมาตรา เช่น มาตรา 309 ซึ่งสมัคร สุนทรเวช ได้กล่าวไว้ว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญจะกระทำก่อนเลือกตั้ง 2-3 เดือน ประเทศไทยจึงได้เห็นภาพทักษิณ ชินวัตร กลับเข้าประเทศเพื่อต่อสู้คดี ก้มลงกราบแผ่นดินและกล่าวว่ามั่นใจในกระบวนการยุติธรรมที่มีต่อเขา
อย่างไรก็ตาม "คนคำนวณมิสู้ฟ้าลิขิต" ความเห็นของผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย 10 คนที่ทักษิณได้ขอความเห็นเกี่ยวกับคดีที่รัชดาฯ ซึ่งเป็นคดีแรกที่ทางการสามารถนำสู่ศาลสถิตยุติธรรมได้ ส่วนใหญ่มี ความเห็นว่าทักษิณยากที่จะรอดจากข้อกล่าวหา ดังนั้นทางเลือกทางเดียวที่คิดว่าเนียนที่สุดก็คือการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะมาตรา 309 เพื่อลบล้างความผิด ไม่ต้องนำคดีขึ้นสู่ศาลอีกต่อไป นี่คือที่มาของการริเริ่มแก้รัฐธรรมนูญในทุกๆ วิธีการ โดยพ่วงการแก้ไขในมาตราอื่นๆ เข้าไปด้วย เช่น มาตรา 237 หรือ 190 เพื่ออำพรางความต้องการของตนเอง
การหลบหนีอออกนอกประเทศโดยอาศัยความปรานีและการให้เกียรติต่อผู้ที่เคยดำรงตำแหน่งนายกฯ ของศาลจึงเป็นสิ่งที่ ทักษิณ ชินวัตร กระทำต่อศาล เพื่อหนีคำพิพากษาซึ่งเป็นไปตามที่คาดเอาไว้ การต่อสู้เพื่อให้ตนเองหลุดจากคำพิพากษาและคดีความอื่นๆ ที่รออยู่อีกหลายคดีที่มีโทษรุนแรงกว่าจึงหลีกไม่พ้นที่จะต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญ หรือไม่ก็ต้องมีการออกกฎหมายนิรโทษกรรม
การถูกถอดถอนออกจากตำแหน่งของสมัครและสมชาย และการเข้าสู่ตำแหน่งนายกฯ ของอภิสิทธิ์ ทำให้ยุทธศาสตร์ของทักษิณต้องเปลี่ยนไปเป็นการก่อจราจลเพื่อบีบให้มีการเจรจาต่อรอง โดยมีแนวร่วมไม่ว่าจะเป็นพวก สส.ไร้อุดมการณ์ ในรัฐสภา ที่ได้ยื่นร่างกฎหมายเพื่อการปรองดอง ซึ่งเป็นการนิรโทษกรรมความผิดทั้งหลายที่ได้เกิดขึ้นตั้งแต่ 19 ก.ย.49 จนถึงต้นเดือน พ.ค.52 เอาไว้ราวกับจะรู้ว่าพวก "เสื้อแดง" ที่อยู่นอกสภากำลังจะทำอะไรในเดือนเมษายน2552ไปจนถึงต้นเดือนพ.ค.52 โดย หมอเหวง ยื่นญัตติ ขอแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยลดพระราชอำนาจ พระมหากษัตริย์ ไม่ให้มีสิทธิ์ตั้งคณะที่ปรึกษาหรือที่เรียกว่าองคมนตรี ได้อีกต่อไป
เมื่อการดำเนินการของ สส. ในรัฐสภาในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลที่เพิ่งตั้งขึ้นมาได้เพียง 3 เดือนเศษไม่สำเร็จ การก่อจราจลโดยพวก "เสื้อแดง" ที่อยู่นอกสภาจึงเป็นทางเลือกสุดท้ายที่เหลืออยู่
การก่อความไม่สงบในช่วง 8-14 เม.ย.ที่ผ่านมาในเขตกรุงเทพฯ และพัทยา จึงเป็นการปฏิบัติการเผาเมือง สร้างความรุนแรงและก่อจราจล เช่นเดียวกับ จักรพรรดิเนโรกระทำต่อกรุงโรม ในอดีต ทักษิณจึงทำทุกอย่างเพื่อบรรลุถึงเป้าหมายเจรจาต่อรองที่ตนต้องการ โดยไม่คำนึงถึงความสูญเสียของประเทศชาติแต่อย่างใด ไม่ว่าจะเป็นการขอให้นิรโทษไม่เอาผิดในคดีที่ศาลพิพากษาตัดสินจำคุกแล้ว หรือการขอทรัพย์สินที่ถูกอายัดไว้คืน ซึ่งเป็นข้อเรียกร้องที่ไม่สามารถทำโดยวิถีทางธรรมดาได้ หากแต่ต้องอาศัยการก่อความรุนแรงเพื่อล้มล้างการปกครอง หรือหากทำไม่สำเร็จก็หวังจะสร้างเงื่อนไขให้เกิดการเจรจาต่อรอง
ยุทธศาสตร์ "ทำลายเพื่อต่อรอง" โดยอ้างการปฏิวัติประชาชนจะไม่สามารถสำเร็จได้เลยหากไม่มีพฤติกรรมเยี่ยงบรูตุสในศตวรรษที่ 21 เกิดขึ้นมา
การเข้าขัดขวางการประชุมอาเซียนกับประเทศคู่เจรจาอีก 6 ประเทศที่พัทยาของพวก "เสื้อแดง" โดยอาศัยการปะทะกับ "เสื้อน้ำเงิน" ที่จัดตั้งขึ้นมาโดยผู้หวังดีแต่ประสงค์ร้าย เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่แสดงให้เห็น ถึงพฤติกรรมเยี่ยง บรูตุส ในระบบราชการไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งฝ่ายความมั่นคงที่เกิดขึ้นในยุคปัจจุบัน
หลักฐานเชิงประจักษ์อีกชิ้นหนึ่งก็คือ เหตุการณ์ที่เกิดกับนายกฯ อภิสิทธิ์ที่พัทยา และที่กระทรวงมหาดไทย ที่เกือบทำให้ประเทศไทยต้องสูญเสียบุคลากรที่สำคัญไปอย่างไม่น่าให้อภัย เพราะการผิดพลาดในครั้งแรกที่เกิดกับนายกฯ ที่ต้องติดไฟแดงและเผชิญหน้ากับความรุนแรงถึงขั้นทำร้ายร่างกายโดยพวก "เสื้อแดง" ที่พัทยายังอาจให้อภัยได้หากเป็นความบังเอิญและเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว
แต่การผิดพลาดซ้ำสองในระยะเวลาไล่เลี่ยกันที่เกิดขึ้นภายในกระทรวงมหาดไทยจากความรุนแรงล้อมกรอบทำร้ายร่างกายของพวก "เสื้อแดง" จนมีผู้บาดเจ็บหลายคน และเผยแพร่ภาพของความป่าเถื่อนไร้ขื่อแปของประเทศไทยที่เกิดขึ้นในสถานที่ราชการ ที่มีหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อยภายในประเทศ เช่น กระทรวงมหาดไทย ออกไปทั่วโลก ทำให้ไม่อาจตีความเป็นอื่นๆ ได้นอกจากความไร้ประสิทธิภาพ หรือด้วยมีเจตนาพิเศษอื่นๆ ของฝ่ายความมั่นคง
พฤติกรรมเยี่ยง บรูตุส ในศตวรรษที่ 21 ในกรณีของเหตุการณ์ความรุนแรงของ"กลุ่มเสื้อแดง" ที่ผ่านมาจึงสะท้อนให้เห็นถึงพฤติกรรมทรยศเนรคุณที่บุคคลหลายๆ คนกระทำมีต่อผู้มีพระคุณและประเทศชาติ ไม่เฉพาะแต่เพียงที่ ทักษิณ ชินวัตร กระทำต่อประเทศบ้านเกิดของตนเอง แต่ยังมีอีกหลายกรณี จากทั้งสื่อ นักวิชาการ ผู้ที่อยู่ในกระบวนการยุติธรรม เช่น ตำรวจ อัยการ รัฐมนตรีร่วมรัฐบาล ที่ไม่เผยแพร่ความชั่ว ของทักษิณ ชินวัตร และชี้แจงว่า ระบอบทักษิณ เป็นพิษร้ายต่อสังคมไทยอย่างไร ซ้ำร้ายยังฉวยโอกาสยกย่องทักษิณ ชินวัตร และระบอบทักษิณอยู่เป็นนิจเพียงเพื่อได้ขึ้นรถไฟสายผลประโยชน์ของทักษิณเท่านั้น
เหตุการณ์ที่พัทยาทำให้ประเทศไทยต้องเสียเกียรติภูมิจากการเป็นเจ้าภาพการประชุมที่ไม่สามารถดำเนินการได้ และทำให้ประมุขผู้นำประเทศและองค์กรระหว่างประเทศที่สำคัญ เช่น UN World Bank ต้องตกอยู่ในอันตราย เป็นต้นทุนความเสียหายที่สูงจนมิอาจประเมินค่าได้ เพราะมิใช่แต่เพียงส่งผลกระทบต่อประชากรในประเทศไทยแต่เพียงฝ่ายเดียว หากแต่กระทบต่อประชากรรัฐสมาชิกที่ไม่ได้ใช้ผลจากข้อสรุปจากการประชุมนี้มากกว่า 2,000 ล้านคน
เราเห็นด้วยในความเท่าเทียมกันในโอกาสใช้สื่อของคนทุกคน แต่ไม่เห็นด้วยกับความเท่าเทียมกันของการเปิดโอกาสในการโกหกโดยใช้สื่อที่เรียกตนเองว่าเป็นสื่อสาธารณะ ลองดูความจริงวันนี้ผ่านสื่อ เช่น CNN BBC หรืออัลจาซีเราะห์ เป็นตัวอย่างก็ได้ เมื่อมีการสัมภาษณ์ ทักษิณ ชินวัตร เกี่ยวกับ "เสื้อแดงก่อความรุนแรง" หากฟังภาษาอังกฤษไม่ออกไม่เป็นไร แต่ฟังน้ำเสียงเปรียบเทียบดูก็ได้ ทำไมเมื่อนักข่าวถามด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ แต่ทำไม ทักษิณ ชินวัตร จึงตอบคำถามของเขาหรือเธออย่างตะกุกตะกัก และเสียงหลง แตกต่างจากสภาพของฮีโร่ที่สื่อไทยในอดีตพยายามสร้างภาพอย่างสิ้นเชิง แตกต่างกับเมื่อเวลาสัมภาษณ์อภิสิทธิ์ที่ตอบด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบแต่หนักแน่น สีหน้าสงบนิ่ง ด้วยความมั่นใจ
สังคมไทย ควรจะได้พิจารณาอย่างถ่องแท้ว่า จะยอมให้ บรูตุส แห่งสยามประเทศ จอมทรยศและปลิ้นป้อน ผู้นี้ เข้ามามีอำนาจอีกหรือ ประวัติศาสตร์ของบุคคลย่อมเป็นบรรทัดฐานและอุทาหรณ์เพื่อพิจารณาว่า ควรจะให้คนลักษณะใดได้มีอำนาจปกครองบ้านเมือง ควรคัดค้านและต่อต้านคนประเภทใดไม่ให้ได้มีอำนาจได้ ดังพระบรมราโชวาท มิใช่หรือ
|
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
|
|
|
แจ้งลบกระทู้นี้
อ่าน 5043 |
|
| แสดงความคิดเห็น |
โดย พี
IP: Hide ip
, วันที่ 29 เม.ย. 52
เวลา 11:14:50
|
