| • จิ๋ว ทำเพื่อชาติ มาร์ค ทำเพื่อใคร? |
|
โพสต์โดย ฮิมปิง , วันที่ 28 ต.ค. 52 เวลา 21:52:54 IP: Hide ip |
กด like เพื่อติดตามข่าวสารดีๆ
จาก cmprice.com
VVVVVV
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
|
ลิงก์ผู้สนับสนุน
© เนื้อหาข่าว/กระทู้
เพราะ ตราบเท่าที่ พ.ต.ท.ทักษิณยังมีนํ้าหนักในจิตใจคนไทย โดยเฉพาะในกลุ่มรากหญ้ากลุ่มคนเสื้อแดงกลุ่มคนในพื้นที่ภาคอีสาน การเลือกตั้งในอนาคตก็ยังคงเป็นเรื่องที่เหนื่อยแสนสาหัสสำหรับพรรคประชา ธิปัตย์อย่างแน่นอน
เพราะวันนี้ e โลกให้ความสำคัญในเรื่องของการไร้พรมแดน
หรือ Globalization โกกาภิวัตน์)มากขึ้นเรื่อยๆความสัมพันธ์ในเรื่องของภูมิภาค
หรือ Region เป็นทิศทางที่จะต้องมีการจับมือกันมากขึ้น
จึงไม่แปลกที่เมื่อได้เห็นท่าทีของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี
ในการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ครั้งที่ 15 ซึ่งไทยมีฐานะเป็นเจ้าภาพ
แต่กลับมีการเกิดปรากฏการณ์คำพูดที่ไม่เหมาะสมทางการทูตมากมาย
กับแขกที่มาเยือนจนแม้แต่ประเทศสมาชิกอาเซียนอื่นๆ
ยังอดที่จะเกิดความรู้สึกไม่ได้ว่าในเวทีเีช่นนี้
ี้นายกรัฐมนตรีของไทยไม่ควรใช้อารมณ์ที่เก็บกด
จากสภาพการเมืองในประเทศมาแสดงออกการไม่เก็บอารมณ์ของนายกรัฐมนตรีไทย
ทำให้หลายๆ ฝ่ายเป็นห่วงว่าจะทำให้ 9 ชาติในภูมิภาคอาเซียน บวก จีน อีก 1 ประเทศพากันเอือมระอา
และเซ็งพฤติกรรมของไทยในขณะนี้ก็ได้ทำให้ในที่ประชุม อาเซียน บิสซิเนส ฟอรั่ม
ซึ่ง เป็นการประชุมหลังจากการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนแล้วทางภาคเอกชนได้มีการ หารือกันอย่างเคร่งเครียด และเรียกร้องเร่งรัดให้ทุกฝ่ายร่วมมือกันเดินหน้ากระชับความสัมพันธ์ในอา เซียน
เพราะกรอบความร่วมมือยังเปราะบาง ไม่แน่ว่าจะสำเร็จหรือไม่
นาย เกริกไกร จีระแพทย์ ประธานกรรมการบริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) ให้ทัศนะว่า
อาเซียนยังร่วมมือกันค่อนข้างช้า แม้จะเริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 2513
ที่สำคัญอาเซียนยังมีจุดอ่อน คือ การรวมตัวกันจะอยู่รอดหรือไม่
่และนายกานต์ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่เครือซิเมนต์ไทย กล่าวว่า
อาเซียนจะต้องเร่งแก้ไขกรอบต่างๆ
ที่เป็นอุปสรรคในการรวมเป็นหนึ่งจุดสำคัญคือ
ไทยมีฐานะด้านเศรษฐกิจเป็นอันดับ 3 ในอาเซียน รองจากสิงคโปร์ และมาเลเซีย
แต่ ไทยเป็นประเทศที่มีโอกาสได้ประโยชน์มากที่สุดจากขนาดตลาดอาเซียน 530 ล้านคน ปัจจุบันอาเซียนค้าขายระหว่างกันเพียงร้อยละ 25-26 เท่านั้นเหมือนกับ
จะสอนว่า ความสัมพันธ์ในภูมิภาคเป็นสิ่งสำคัญต่อเศรษฐกิจไทยนั่นเอง
จะเห็นว่าภาคธุรกิจ คนที่ทำงานเป็น
หรือ ผู้บริหาร ที่มีประสบการณ์ในการทำงานอย่างโชกโชน ต่างมองตรงกันว่า การจับมือในกลุ่มอาเซียนให้แนบแน่นเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับประเทศ ไทย
แต่ในขณะที่ทางซีกการเมือง กลับไม่ได้ให้ความสำคัญกับการผนึก
หรือเชื่อมความสามัคคีกับประเทศเพื่อนบ้าน ยังมีการใช้อารมณ์ ใช้ความรู้สึก
และอคติในการกำหนดทิศทางท่าทีต่อประเทศเพื่อนบ้านเห็นได้อย่างชัดเจน
กรณีของประเทศกัมพูชาและ สมเด็จฯ ฮุน เซน นายกรัฐมนตรีของกัมพูชา
ซึ่ง นายอภิสิทธิ์ รวมทั้ง นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ มีการเพิกเฉยต่อระดับ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เป็นอย่างมากเพียง
เพราะไปเข้าใจ
และรู้สึกว่า สมเด็จฯฮุน เซน ให้การช่วยเหลือ
และสนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
ซึ่งขั้วอำนาจรอบตัวของนายอภิสิทธิ์ รวมทั้งนายอภิสิทธิ์
และพรรคประชาธิปัตย์ มองว่าเป็นคู่แข่งเป็นศัตรูทางการเมือง
ที่ต้องจัดการให้สิ้นซากให้ได้
้เพราะ ตราบเท่าที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ยังมีนํ้าหนักในจิตใจคนไทย โดยเฉพาะในกลุ่มรากหญ้ากลุ่มคนเสื้อแดงกลุ่มคนในพื้นที่ภาคอีสานการเลือก ตั้งในอนาคต
ก็ยังคงเป็นเรื่องที่เหนื่อยแสนสาหัสสำหรับพรรคประชาธิปัตย์อย่างแน่นอน
แต่เรื่องของการไม่สามารถเอาชนะทางการเมืองได้ด้วยตนเอง
หรือการหาทางกำจัดคู่แข่งทางการเมือง ไม่ควรถูกนำมาเชื่อมโยง
กับเรื่องของความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านด้วยเหตุนี้เอง
เมื่อ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธประธานพรรคเพื่อไทย และอดีตนายกรัฐมนตรีมองว่าการเมืองควรจะแยกออกจากเรื่องการสร้างความสัมพันธ์อันดี
กับประเทศเพื่อนบ้านในขณะที่ พล.อ.ชวลิต เป็นคนที่มีต้นทุนสูง
กับบรรดาประเทศเพื่อนบ้านของไทย ซึ่งหากการเมืองไม่ทำให้รัฐบาล
และพรรคร่วมรัฐบาลทั้งหลายหน้ามืดดวงตาขุ่นมัวไปด้วยอารมณ์ทิฐิแล้ว
จะต้องยอมรับความจริงในเรื่องนี้ว่ากับประเทศเพื่อนบ้าน
กับมิตรประเทศเพื่อนบ้าน รวมไปกระทั่งยักษ์ใหญ่ผู้นำโลกรายใหม่อย่างประเทศจีน...
พล.อ.ชวลิต สนิทสนมด้วยเป็นอย่างมากทั้งนั้น
เมื่อรัฐบาล นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ไม่สามารถที่จะทำหน้าที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
กับ ประเทศในเรื่องการสร้างความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านได้แต่ พล.อ.ชวลิต ทำได้ และเห็นความจำเป็นที่จะต้องทำ เพราะไม่เหมาะแน่หากประเทศไทยจะมีปัญหากับประเทศเพื่อนบ้านไปเสียหมดด้วย เหตุนี้
พล.อ.ชวลิต จึงได้เข้ามาดำเนินการเชื่อมความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคอา เซียน และไม่ได้คิดจะไปเยือนแค่กัมพูชา แต่จะไปหมดไม่ว่าจะเป็นมาเลเซีย พม่า ลาว และจีนเพียงแต่เริ่มต้นที่กัมพูชาก่อนก็เท่านั้นเอง
และบังเอิญที่ สมเด็จฯ ฮุน เซน กล่าวแสดงความรู้สึกอย่างตรงไปตรงมาว่า
รู้สึกเห็นใจในชะตากรรมของ พ.ต.ท.ทักษิณ พร้อมทั้งยืนยันในความเป็นเพื่อน
การเมืองไทยก็เต้นเป็นเจ้าเข้าบรรดาคนปากกล้าปากเสียของพรรคประชาธิปัตย์ทั้งหลาย
ตั้งแต่หัวแถวยันท้ายแถว ก็ออกมาแกว่งปากฟูมฟายกันเป็นการใหญ่
หาเรื่องทั้ง สมเด็จฯ ฮุน เซน และพล.อ.ชวลิต ไปหมด โดยไม่ได้ส่องดูเงาตนเองกันเลยว่า ทำหน้าที่ในการสานสัมพันธ์ระหว่างประเทศดี
หรือยังยิ่งหากดู คำแถลงการณ์ของโฆษกรัฐบาลประเทศกัมพูชา
ที่ยืนยันเรื่องของมาตรา 3 ของสนธิสัญญาร่วมไทย–กัมพูชาว่าด้วยการส่งผู้ร้ายข้ามแดนแล้วจะเห็นว่า ทางกัมพูชาไม่ได้ใช้อารมณ์
หรือเหตุผลเฉพาะตัวในเรื่องนี้แต่เป็นการใช้หลักการ
และเหตุผลตามบรรทัดฐานของสนธิสัญญาเป็นหลักทั้งสิ้น
ดังนั้นในแง่ของการดำเนินความสัมพันธ์ระหว่างประเทศแล้ว
นายอภิสิทธิ์ และนายกษิต จะไปใช้อารมณ์กับจุดยืนที่ชัดเจนตามสนธิสัญญาของทางกัมพูชาไม่ได้เลย
และไม่ควรทำให้เกิดจุดด่างรอยร้าวระหว่างประเทศ
เพราะ เรื่องนี้ด้วยถ้ากัมพูชาไม่ใช้เหตุผล ไม่ใช่หลักการตามสนธิสัญญานั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ในเมื่อทุกอย่างอยู่บนพื้นฐานความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่ถูกต้อง นายกรัฐมนตรีของไทยก็ต้องยึดมั่นในหลักการที่ถูกต้องด้วย
รวมทั้ง จะต้องไม่ไปพาลหาเรื่อง
หรือเหน็บแนมไปถึง พล.อ.ชวลิต ในเรื่องของการเดินสายสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศด้วย...
ที่ถูกรัฐบาลควรจะต้องขอบคุณพล.อ.ชวลิต ด้วยซํ้า
ที่ช่วยทำหน้าที่แทนรัฐบาลร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธานส.ส.พรรคเพื่อไทย
ยังเห็นด้วยอย่างยิ่งเลยว่าบทบาทของ พล.อ.ชวลิต ที่เดินทางไปพบ สมเด็จฯ ฮุน เซน เป็นเรื่องที่ดีเยี่ยม
และไม่ได้เป็นการขายชาติตามที่รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ตำหนิพล.อ.ชวลิต ไม่เคยคิดร้ายกับใคร
ดัง นั้นหากไม่อคติ หากไม่มีวาระซ่อนเร้นในทางการเมือง พรรคประชาธิปัตย์นายอภิสิทธิ์ และนายกษิต จะต้องไม่พาลพาโลแบบนี้ก็ในเมื่อความเป็นจริงในเวลานี้
ไม่ต้องพูดถึงว่านายกษิตไม่มีปัญญาเคลียร์เรื่องเหล่านี้
ี้กับ ทาง สมเด็จฯ ฮุน เซน ได้เลยแม้แต่นายอภิสิทธิ์เอง ด้วยความเป็นเด็กที่เก็บอารมณ์ไม่อยู่ และวุฒิภาวะความเป็นผู้นำยังไม่แข็งแรงพอก็ไม่สามารถ
ที่จะเคลียร์ได้เช่นกันก็ได้แต่ฝากงาน
ที่ ควรต้องทำเองไปให้นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นคนกระทำแทน เป็นคนช่วยเคลียร์ให้แทนจนหลายๆ มุมมอง เห็นว่า นายสุเทพ แทบจะถูกใช้ทุกเรื่อง จนจะกลายเป็นสารพัดเบ๊อยแู่ล้วในเวลานี้...
ซึ่งถือเป็นจุดอ่อนอย่างยิ่งของรัฐบาลและของพรรคประชาธิปัตย์
ดังนั้น วันนี้แทนที่จะอาละวาดเหมือนเด็กที่ถูกขัดใจ แล้วโทษคนอื่นมั่วซั่วไปหมด
นายอภิสิทธิ์และพลพรรคประชาธิปัตย์ควรจะต้องย้อนดูตัวเองด้วยใจที่เปิดกว้างสักทีแล้ว
http://www.bangkok-today.com/node/3036
|
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
|
|
|
แจ้งลบกระทู้นี้
อ่าน 1308 |
|
| แสดงความคิดเห็น |
โดย ฮิมปิง
IP: Hide ip
, วันที่ 28 ต.ค. 52
เวลา 21:52:54
|
