|
ธุรกิจไอทีไทยหลังระเบิด ยังบอกไม่ได้ กระทบมาก - น้อยแค่ไหน
 แม้จะล่วงเลยเวลามากว่า 10 วันแล้ว กับเหตุการณ์ก่อวินาศกรรมวางระเบิด 8 จุด ในกรุงเทพฯ และ จ.นนทบุรี เมื่อหัวค่ำวันที่ 31 ธ.ค. 2549 ต่อเนื่องวันที่ 1 ม.ค. 2550 แต่ดูเหมือนว่า เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงจะยังจับคนร้ายไม่ได้ มิหนำซ้ำ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี และ พล.สนธิ บุญยรัตกลิน ผู้บัญชาการทหารบกและประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ หรือ คมช. ยังออกมาเตือนว่า อาจจะมีระเบิดรอบสองอีกใน 1-2 เดือนข้างหน้า ดังนั้น จึงเกิดคำถามต่างๆ ที่หลายคนหวาดหวั่นตามมานานัปการ เช่น ระเบิดจะเกิดขึ้นอีกจริงหรือไม่? ถ้าเกิดเป้าหมายจะเป็นที่ไหน? และจะเบา หรือ รุนแรงกว่าเดิมเพียงใด? ฯลฯ แต่วันนี้ คำถามที่ทีมข่าว IT-Digest ให้ความสนใจ คือ ประเด็นที่รัฐบาลและ คมช. ระบุว่า 1-2 เดือน นับจากนี้ ยังอาจจะมีเหตุร้ายเกิดขึ้นอีกจะส่งผลกระทบต่อตลาดไอทีไทยมากน้อยเพียงใด? และผลกระทบจากระเบิดที่เกิดขึ้นแล้วมีมากน้อยแค่ไหน? นายชัยวัฒน์ เอมวงศ์ รองผู้จัดการฝ่ายการตลาด ไอทีมอลล์ ฟอร์จูนทาวน์ บริษัท ซี.พี. พลาซ่า จำกัด ผู้บริหารศูนย์ การค้าไอทีมอลล์ กล่าวยอมรับว่า เหตุระเบิดที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบต่อธุรกิจแน่นอน โดยเฉพาะในส่วนของผู้บริโภคที่เป็นกลุ่มครอบครัวพบว่า ตั้งแต่เกิดเหตุมีการใช้จ่ายน้อยลง เพราะเป็นกลุ่มลูกค้าที่ใช้ความระมัดระวังและมีวิจารณญาณในการเลือกซื้อสินค้าและพักผ่อนตามศูนย์การค้าต่างๆ สำหรับผู้บริโภคในกลุ่มพนักงานบริษัท หรือ คนทำงานทั่วไป รองผู้จัดการฝ่ายการตลาด ไอทีมอลล์ กล่าวว่า ทุกวันนี้ ยังคงใช้จ่ายตามปกติ อย่างไรก็ตาม แม้วันแรกหลังเกิดเหตุระเบิดจะมีคนเดินลดลงบ้าง แต่พอวันที่ 2-3 คนก็เริ่มเพิ่มขึ้น ดังนั้น ภายใน 1 เดือนต่อจากนี้ ถ้าไม่มีกระแสขู่วางระเบิดตามสถานที่ต่างๆ และไม่เกิดระเบิดซ้ำอีกทุกอย่างน่าจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ เพราะตั้งแต่เดือน ก.พ.-มี.ค. ของทุกปี มีกิจกรรมขทางการตลาดมาก นายชัยวัฒน์ กล่าวถึงมาตรากรรักษาความปลอดภัยของไอทีมอลล์ว่า เดิมทีไอทีมอลล์มีกล้องวงจรปิดและเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยประจำอยู่แล้ว แต่หลังจากเกิดเหตุได้ให้ความสำคัญมากขึ้นและเตรียมมาตรการรักษาความปลอดภัยเพิ่ม เติม โดยร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่จากสำนักงานเขตและผู้ประกอบการตรวจตราวัตถุแปลกปลอม จุดอับต่างๆ และถังขยะเพื่อสร้างความเชื่อมมั่นให้กับลูกค้า  ส่วน นายเอกรัศมิ์ อวยสินประเสริฐ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินเทล ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้นำนวัตกรรมโปรเซสเซอร์ พูดถึงผลกระทบจากเหตุระเบิดเมื่อวันที่ 31 ธ.ค. 2549 ว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้กลุ่มลูกค้าคอนซูมเมอร์ที่เป็นตลาดใหญ่ชะลอการซื้อสินค้า เพราะลูกค้ากลุ่มดังกล่าว ค่อนข้างอ่อนไหวกับเหตุการณ์และส่วนใหญ่จะเลือกซื้อสินค้าจากศูนย์การค้า ดังนั้น เมื่อรู้สึกว่า ไม่ปลอดภัย ไม่เข้าศูนย์การค้า กำลังซื้อก็ชะลอตัวลง ถามถึงกำลังซื้อจากกลุ่มลูกค้าองค์กร กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินเทล ตอบว่า ถ้ารัฐบาลสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ในระยะสั้นไม่น่าจะมีผลกระทบ เพราะลูกค้ากลุ่มนี้ มีการวางแผนและตั้งงบประมาณไว้ล่วงหน้า พร้อมทั้งเชื่อว่า กำลังซื้อจากกลุ่มภาครัฐจะเป็นตัวช่วยให้กำลังซื้อในช่วงครึ่งปีแรกไม่ลดลง ส่วนครึ่งปีหลังการเปิดตัวเทคโนโลยีใหม่ๆ ทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์จะเป็นตัวช่วยกระตุ้นให้กำลังซื้อจากทุกกลุ่มเพิ่มมากขึ้น นายเอกรัศมิ์ กล่าวย้ำว่า การเปิดตัวเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น ระบบปฏิบัติการวินโดวส์วิสต้าของไมโครซอฟท์และโปรเซสเซอร์คอร์ทูดูโอ อินเทล อี 4300 ที่จะทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์เดสก์ท้อปมีราคาลดลงจะเป็นตัวกระตุ้นกำลังซื้อในครึ่งแรกของปี ส่วนครึ่งปีหลังการขยายตลาดโปรเซสเซอร์แบบคว๊อดคอร์ครบทั้งพีซีและเซิร์ฟเวอร์ ที่ทำให้คอมพิวเตอร์ทุกเครื่องมีสมองสำหรับการทำงานถึง 4 ชุด และมีประสิทธิภาพมากขึ้นจะเป็นสิ่งกระตุ้นกำลังซื้อ อย่างไรก็ตาม ผู้บริหารอินเทล เตือนว่า ถ้ารัฐบาลไม่สามารถควบคุมเหตุการณ์ความรุนแรงได้ในปีนี้ ธุรกิจทั้งระบบที่เชื่อม โยงกันแบบงูกินหางลำบากกว่าปีที่ผ่านมา แน่นอน อย่างไรก็ตาม ต้องรออีกประมาณ 2-3 เดือน หากไม่เกิดระเบิดซ้ำธุรกิจไอทีน่าจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติเช่นเดียวกับธุรกิจอื่นๆ ส่วนปัญหาอื่นๆ ที่น่าเป็นห่วงนอกจากความไม่สงบ คือ ค่าเงินบาทที่ไม่มีเสถียรภาพทำให้ทำธุรกิจลำบากมากขึ้น ทางด้าน นายนิธิพัทธ์ ประวีณวงศ์วุฒิ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท เอเซอร์ คอมพิวเตอร์ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายคอมพิวเตอร์แบรนด์เอเซอร์ กล่าวว่า ขณะนี้ ยังบอกไม่ได้ว่า เหตุระเบิดที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 31 ธ.ค. 2549 มีผลกระทบต่อธุรกิจหรือไม่ เพราะปกติในเดือน ม.ค. ของทุกปี เป็นช่วงชะลอตัวของธุรกิจไอที ดังนั้น ต้องรอดูสถานการณ์ตั้งแต่เดือน ก.พ. 2550 เป็นต้นไป โดยในกรณีที่ยังชะลอตัวอยู่หมายความว่า ได้รับผลกระทบ ถามถึงปัญหาความเชื่อมั่นของบริษัทแม่ที่ไต้หวัน ผู้จัดการฝ่ายการตลาด ตอบว่า ตอนนี้ ยังไม่มีการแสดงความคิดเห็นใดๆ จากบริษัทแม่ โดยทุกอย่างยังเป็นไปตามปกติ  มาถึง นายจำรัส สว่างสมุทร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อินเตอร์เนชั่นแนล รีเสิร์ซ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ไออาร์ซีพี และนายกสมาคมอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศไทย หรือ เอทีซีไอ กล่าวถึงผลกระทบจากเหตุระเบิดเมื่อวันที่ 31 ธ.ค. 2549 ต่อธุรกิจไอทีว่า กำลังซื้อในตลาดคอนซูเมอร์ลดลงแน่นอน แต่ยังเร็วเกินไปที่จะประเมินผลกระทบ โดยต้องใช้เวลาอีกสัก 1 ไตรมาส หรือ ประมาณไตรมาสที่ 2 จึงจะเห็นผลกระทบที่ชัดเจนได้ นายกเอทีซีไอ กล่าวถึงอัตราการเติบโตของธุรกิจไอทีในปีนี้ ว่า ลดลงแน่นอน แต่ตัวเลขจะเป็นเท่าไรนั้น ต้องรอประมาณไตรมาสที่ 2 จึงจะสามารถวิเคราะห์ได้ เพราะนอกจากผลกระทบจากเหตุระเบิดเมื่อวันที่ 31 ธ.ค. 2549 แล้ว ปัญหาที่น่าเป็นห่วงยังอีกเรื่อง คือ ค่าเงินบาทที่การแกว่งตัวทำให้ผู้ประกอบการทำธุรกิจลำบากมากขึ้น เพราะแม้ผู้ประกอบการจะใช้วิธีประกันค่าเงิน แต่ก็มีสิทธิ์จะขาดทุนในการทำธุรกิจได้ ทั้งหมดที่กล่าวมา เป็นเสียงสะท้อนจากบางส่วนของผู้บริหารบริษัทด้านไอซีทีในประเด็นผลกระทบจากเหตุระเบิดที่เกิดขึ้นเมื่อช่วงหัวค่ำวันที่ 31 ธ.ค. 2549 ต่อเนื่องวันที่ 1 ม.ค. 2550 ที่พบว่า ธุรกิจไอทีไทยก็ได้รับผลกระทบเช่นเดียวกับธุรกิจอื่นๆ ส่วนจะมากน้อยเพียงใดยังต้องรอดูอีกสักระยะ ซึ่งเมื่อถึงวันนั้น จะรู้ว่า ระเบิดส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่มีอานุภาพทำลายล้างธุรกิจไอทีไทยมากน้อยแค่ไหน.... ณัฐพล ทองใบใหญ่
itdigest@thairath.co.th
บทความจาก : ไทยรัฐ |
|
