|
|
|
|
|
 ทุกคนต่างยอมรับว่าอินเทอร์เน็ตเป็นสิ่งสำคัญและมีคุณอนันต์ในโลกยุคโลกาภิวัฒน์หรือการสื่อสารไร้พรมแดน แต่ก็ต้องยอมรับเช่นกันว่ามันก็มีโทษมหันต์เมื่อถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด และเมื่อสำรวจตรวจตราดูภัยในอินเทอร์เน็ต หนึ่งในนั้นที่กำลังเป็นปัญหาติดอันดับอยู่ในกระแสปัจจุบัน คงหนีไม่พ้นโปรแกรมวีดิโอ คอนเฟอร์เรนซ์ หรือโปรแกรมแชตผ่านเว็บแคม หรือที่คุ้นหูกันดีในชื่อ “แคมฟรอก” (Camfrog) ที่ผ่านมา “แคมฟรอก” เป็นข่าวใหญ่ยึดพื้นที่สื่อไปหลายแขนง กลายเป็นทอล์คออฟเดอะทาว์นในลักษณะว่าเป็นสื่อลามกชนิดใหม่ ที่น่าสนใจและต้องลองเข้าไปดู จนสามารถพูดได้เต็มปากว่าคนที่รู้จักอินเทอร์เน็ตคงไม่มีใครไม่รู้จัก และใครก็ตามที่เข้าโปรแกรมแคมฟรอกในขณะนี้คงจะไม่สนิทใจเหมือนเคย ทั้งยังโดนพ่วงข้อหาว่าเข้าไปเพื่อเสพสิ่งอนาจาร และเป็นหนึ่งในผู้ที่ทำสถิติให้ประเทศไทยมีอัตราการใช้โปรแกรมนี้ติด 1 ใน 3 ของโลก หลายหน่วยงาน อาทิ กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.) ต่างแสดงความเป็นห่วงและพยายามหาทางแก้ปัญหาในเรื่องนี้ ล่าสุดเมื่อวันที่ 1 ก.พ. ที่ผ่านมา นางมณีรัตน์ ผลิพัฒน์ รองปลัดกระทรวงไอซีที ได้เรียกประชุมหารือกับผู้ให้บริการอินทอร์เน็ต (ไอเอสพี) รวมถึง คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) ได้ออกมาตราการเบื้องต้นในการแก้ปัญหาคือการขอความร่วมมือกับไอเอสพี ในการบล็อกโปรแกรม และให้ กสท ปิดกั้นเกตเวย์ แต่ถึงกระนั้นกระทรวงไอซีทีก็ยังยอมรับว่าเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ และเพียงแค่ระยะเวลาสั้นๆ อยู่ดี  ล่าสุดมีโปรแกรมหนึ่งที่น่าสนใจและน่าจะเป็นหนึ่งในตัวเลือกเพื่อนำมาลดปัญหาชื่อว่า “โปรแกรมแอนตี้ แคมฟรอก ” (AntiCamfrog Beta1.0) ผลงานของ นายยุทธนา ศุภรัตน์ภิญโญ นักศึกษาชั้นปีที่ 2 สาขาวิชาคอมพิวเตอร์เกมส์มัลติมีเดีย คณะเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยรังสิต ซึ่งเพิ่งเปิดตัวใหม่ และให้บริการดาวน์โหลดดดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดใด ผ่าน www.rsu.ac.th อยู่ในขณะนี้ “แรกเริ่มเดิมทีที่มาของโปรแกรมนี้มาจากการที่อาจารย์ที่ปรึกษาได้มอบหมายงานให้ โดยให้นโยบายว่าอยากให้พัฒนาโปรแกรมที่มีประโยชน์ต่อสังคมจึงมาลงเอยที่ แคมฟรอกเพราะกำลังมีปัญหาอยู่” ยุทธนา เริ่มต้นด้วยการบอกเล่าถึงที่มาที่ไป ผู้พัฒนาโปรแกรมแอนตี้ แคมฟรอก อธิบายถึงหลักการทำงานของโปรแกรมนี้ว่า แอนตี้แคมฟรอกใช้ Visual C#.Net ในการเขียน มีขนาดเพียง 380 KB และสามารถใช้ได้ตั้งแต่วินโดว์ เวอร์ชั่น 2006 ขึ้นไป หากเอาไปติดตั้งลงในเครื่องคอมพิวเตอร์ จะทำงานเป็นแบ็คออฟฟิศ (Back Office) อยู่ในแบ็คกราวน์โหมด โดยตัวโปรแกรมจะทำงานโดยการสำรวจตรวจตราหาแคมฟรอก ถ้าหากเจอว่ามีการใช้งานจะทำให้เครื่องนั้นไม่สามารถเข้าใช้แคมฟรอกได้ เป็นการบังคับให้โปรแกรมแคมฟรอกปิดตัวเองลง โดยใช้เวลาไม่เกิน 10 วินาที และสามารถบล็อกได้แบบ 100% เป็นการแก้ปัญหาที่ค่อนข้างได้ผลในสถานการณ์ขณะนี้ อย่างไรก็ตาม ยุทธนา มองว่า ตนไม่สนใจว่าใครจะเข้าไปใช้แคมฟรอกหรือไม่ใช้ ใครอยากจะโชว์ ใครอยากจะดูก็ดูไป เป็นสิทธิของแต่ละคน ถ้าหากมีวุฒิภาวะที่เหมาะสมและไม่สร้างปัญหาให้สังคม แต่จุดประสงค์ของการพัฒนาโปรแกรมนี้ก็คือเป็นการป้องกันผู้ใช้ตามสถานที่ที่ไม่ควรจะเข้าไปเล่น เช่น ในสถานศึกษา ร้านอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ หน่วยงานราชการต่างๆ รวมไปถึงผู้ปกครองที่ต้องการนำไปลงตามบ้าน พูดง่ายๆ ก็คือเป็นการปิดช่องทางเข้าการเข้าใช้ในสถานที่ที่มันไม่เหมาะไม่ควร นักศึกษาชั้นปีที่ 2 สาขาวิชาคอมพิวเตอร์เกมส์มัลติมีเดีย คณะเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยรังสิต รายนี้ ออกตัวด้วยว่าอันที่จริงแล้วโปรแกรมแคมฟรอกตามหลักการเป็นซอฟต์แวร์ที่มีประโยชน์ ไม่อยากให้มีการไปบล็อก เพราะสามารถนำมาใช้ในการประชุมผ่านวีดิโอคอนเฟอร์เรนซ์ การแชร์ความรู้ระหว่างผู้ที่สนใจในสิ่งเดียวกัน หรือแม้แต่การนำมาใช้ในการลดช่องว่างระหว่างคนพิการหูหนวกและเป็นใบ้ให้สามารถสื่อสารกันได้ ซึ่งจะไม่มีปัญหาตามมาเลยหากคนนำไปใช้ในลักษณะดังกล่าว แต่ในทางตรงข้ามโปรแกรมนี้กลับถูกนำมาใช้เป็นโปรแกรมในการโชว์ลามก อนาจาร จนก่อให้เกิดการล่อลวงไปข่มขืน และผลร้ายอื่นๆ ตามมามากมาย  นายชนวัฒน์ ศรีสอ้าน คณบดีคณะเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยรังสิต ให้ความเห็นต่อโปรแกรม แอนตี้แคมฟรอกว่า โปรแกรมตัวนี้จะเป็นการแก้ปัญหาที่ผู้ใช้โดยตรง ถือเป็นการแก้ที่ต้นเหตุ แม้จะไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุด แต่เบ็ดเสร็จที่สุด เหมาะสำหรับผู้ปกครอง หน่วยงานราชการ และสถานศึกษา รวมถึงร้านอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ต่างๆ ที่ไม่ต้องการให้มีการใช้โปรแกรมนี้ เนื่องจากปัจจุบันการแก้ปัญหาโดยการไปไล่บล็อกตามไอเอสพี หรือในเซิร์ฟเวอร์ต่างๆนั้นไม่สามารถแก้ปัญหาได้ เป็นการแก้ที่ปลายเหตุ เนื่องจากเมื่อไปไล่ปิดเขาก็จะไปหาช่องทางเปิดใหม่อีก เพราะยังมีช่องว่างอยู่ คณบดีคณะเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยรังสิต บอกด้วยว่า ตั้งแต่ปัญหาแคมฟรอกเริ่มดังใหม่ๆ ตนไม่พบว่ามีนักวิชาการในด้านนี้ออกมาเคลื่อนไหวเพื่อที่จะแก้ปัญหาเท่าที่ควรจะเป็น ซึ่งแท้จริงแล้วเป็นหน้าที่โดยตรงของนักวิชาการทั้งหลายที่จะต้องนำความรู้ออกมาใช้ โดยเฉพาะในมหาวิทยาลัยต่างๆที่จะโดนสบประมาทอยู่แล้วว่ามีแต่ผลวิจัยที่ไม่สามารถนำมาใช้งานได้จริง “เป็นเรื่องที่น่าอายมากที่ประเทศไทยเราติดอันดับการใช้แคมฟรอก เป็นอันดับ 3 ของโลก และใช้ไปในทางที่ผิดอีก ถ้าเทียบประชากรกับประเทศอย่างสหรัฐอเมริกาและจีน อย่างไรก็ตาม ไม่ได้ตั้งใจว่าจะเอาโปรแกรมตัวนี้ออกมาเผยแพร่ เพียงแต่ต้องการหาทางในการป้องกันตนเองขึ้นภายในมหาวิทยาลัยเท่านั้น เนื่องจากเราไม่มีความสามารถหรืออำนาจไปจัดการกับไอเอสพี และเซิร์ฟเวอร์ได้” นายชนวัฒน์ กล่าว ทั้งนี้แม้จะเป็นโปรแกรมที่สามารถสกัดกั้นได้ 100% แต่ก็ยังไม่ใช่ทางแก้ที่ถูกทางเหมือนเดิม เพราะถึงอย่างไรแคมฟรอกก็ยังเป็นโปรแกรมที่มีประโยชน์ ดังนั้นจึงจะมีการพัฒนา แอนตี้แคมฟรอก เบต้า 2.0 ขึ้นมา โดย นายเสกสันต์ แสงสวัสดิ์ อาจารย์ประจำสาขาวิชาคอมพิวเตอร์เกมส์มัลติมีเดีย คณะเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยรังสิต ในฐานะ อาจารย์ที่ปรึกษาโครงการพัฒนาโปรแกรมแอนตี้ แคมฟรอก ของ นายยุทธนา ศุภรัตน์ภิญโญ บอกว่าเบต้า 2 จะมีการพัฒนาไม่ให้ปิดโปรแกรมลงในทันทีโดยจะสามารถใช้โปรแกรมได้อยู่ คือ เป็นลักษณะการบล็อกโปรแกรมตามการใช้งาน ต่อยอดโดยการนำงานวิจัยเรื่องของภาพนิ่งในการจับเม็ดสีและเรื่องของการเคลื่อนไหวของนักศึกษาระดับปริญญาโทในสถาบันเข้ามาช่วยเพื่อวิเคราะห์ภาพว่าเข้าข่ายลามกอนาจารหรือไม่ เช่น หากมีสีเนื้อเกินกว่า 80 % และมีการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติ ก็ถือว่าเข้าข่ายว่ากำลังทำกิจกรรมที่มีพิรุธ ซึ่งก็จะทำการปิดโปรแกรมลง นอกจากนี้ เบต้า 2 จะสามารถนำไปใช้กับโปรแกรมแชตอื่นๆได้อีกด้วย แต่อาจต้องใช้ระยะเวลาประมาณ 6 เดือนในการพัฒนา  ด้านผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต หรือ ไอเอสพี นายอนันต์ แก้วร่วมวงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีเอส ล็อกซอินโฟ จำกัด (มหาชน) ให้ความเห็นในทางตรงกันข้ามว่า คงไม่มีประโยชน์อะไรและไม่สามารถช่วยแก้ปัญหาได้มากนัก การเอาเทคโนโลยีมาแก้ปัญหาเทคโนโลยีคงไม่ใช่หนทางที่ถูกและดีที่สุด เพราะถึงอย่างไรคนที่ต้องการใช้เทคโลยีในทางที่ผิดก็ต้องหาวีธีเข้าจนได้ จึงควรหันไปแก้ปัญหาที่ตัวบุคคลมากกว่า ยกตัวอย่างเช่น ในต่างประเทศตามโรงเรียน หรือในมหาวิทยาลัยจะไม่ใช้วิธีการแก้ปัญหาแบบปิดกั้น แต่ปล่อยอิสระเลย ซึ่งก็ไม่เห็นว่ามีปัญหา เพราะเขาจะใช้วิธีการปลูกฝังไปที่ตัวเด็ก หรือผู้ใช้โดยดึงผู้ปกครองมาร่วมด้วย มาช่วยกันคิดและหาทางแก้ไข ขณะที่ นายปรีดา นันต์ธนะ ที่ปรึกษาทางกฏหมายสมาคมนักธุรกิจผู้ให้บริการอินเตอร์เนตไทยหรือ ไอซีซีที ออกมาขานรับว่าเป็นสิ่งที่ดี และสามารถป้องกันได้ในระดับหนึ่ง แต่จะใช้ได้ผลหรือไม่ได้ผลก็ขึ้นอยู่กับผู้ใช้ ดังนั้น จึงไม่อยากให้ไปคาดหวังมากนัก เพราะถึงอย่างไรเชื่อว่าจะต้องมีคนที่หาทางแก้อยู่ดีไม่ว่าจะมีโปรแกรมอะไรออกมา และอันที่จริงแล้วปัญหาไม่ใช่มีแค่แคมฟรอก แต่ยังมีอีกหลายโปรแกรมที่สามารถแชตได้ อาทิ MSN ,ICQ ,Yahoo Messenger ซึ่งหากไปดูจริงๆก็มีปัญหาลักษณะเดียวกันทั้งการโชว์ ลามก ล่อลวง ไปจนถึงการขายตัว โดยฉพาะตามโรงเรียนต่างๆที่ถือว่ายังมีเด็กที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ ดังนั้น ภาครัฐควรหันมามองส่วนนี้ให้มาก เอานักวิชาการต่างๆ มาระดมสมองตั้งเป็นองค์กรขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาทั้งระบบ หากเป็นไปได้ควรให้ประกาศเป็นวาระแห่งชาติ แม้อาจจะต้องใช้เวลาหน่อยแต่ก็คุ้มค่า อย่างไรก็ตาม ท้ายที่สุดแล้วปัญหานี้จะสิ้นสุดลง ณ จุดใด คงต้องรอดูและใช้เวลา หากก็ถือเป็นสัญญานที่ดีที่เห็นความตื่นตัว เพราะอย่างไรเสียการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนยังคงเป็นที่จิตสำนึกของคน และต้องยอมรับว่าหากใครก็ตามที่มีวัยวุฒิรู้จักแยกแยะเพียงพอ การเข้าไปเสพสื่อลามกก็ยังเป็นสิทธิ และไม่น่าจะเสียหายอะไร แต่โจทย์สำคัญก็คือทำอย่างไรจะแยกไม่ให้เด็กและเยาวชนตกเป็นเหยื่อ และเป็นปัญหาของสังคมมากกว่า ธีรนันท์ ขันตี itdigest@thairath.co.th
บทความจาก : ไทยรัฐ |
|
|
| |
|
|
|
