เมื่อพูดถึงบริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง หรือ บรอดแบนด์ แน่นอนว่าสังคมคนเมืองย่อมคุ้นเคยและรู้จักเป็นอย่างดี เพราะในเขตกรุงเทพฯ และปริมลฑล ต่างมีโครงข่ายสื่อสารของผู้ให้บริการโทรศัพท์รายใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นบริษัททีโอที จำกัด (มหาชน) หรือ กลุ่มบริษัททรู ที่ทำตลาดบรอดแบนด์มาต่อเนื่อง รวมไปถึงการผลักดันของรัฐบาล กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ที่เคยวางแผนไว้ว่าจะมีบรอดแบนด์ 1 ล้านพอร์ตเมื่อ 2-3 ปีก่อน ทำให้เกิดการกระจายบริการบรอดแบนด์ไปตามหัวเมืองใหญ่ และตัว อ.เมืองของจังหวัดต่างๆ พูดกันมานานแล้วกับการขยายบริการเหล่านี้ ไปให้ถึง “ลาสท์ไมล์” หรือ พื้นที่ห่างไกล จนเมื่อมี คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กทช.ก็มีการผลักดันให้ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต ที่รับในอนุญาตแล้ว ต้องทำโครงการโทรคมนาคมทางไกลเพื่อการเข้าถึงอย่างเท่าเทียม หรือ USO ที่กระจายโอกาสให้คนในชนบท มีโอกาสใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของตัวเองให้ดีขึ้น รวมถึงนำไปใช้พัฒนาธุรกิจท้องถิ่นให้มีประสิทธิภาพ สื่อสารกับตลาดอื่นๆ ได้ แต่ก็ติดเรื่องการลงทุนทำโครงข่ายสายโทรศัพท์ ทั้งแบบสายทองแดง หรือไฟเบอร์ออปติก เนื่องจากบรอดแบนด์จำเป็นต้องพึงพาโทรศัพท์พื้นฐานดังที่เคยนำเสนอมาอยู่เสมอ เช่นเดียวกันก็ได้มีการมองหาเทคโนโลยีโทรคมนาคมต่างๆ เพื่อที่จะเข้ามาใช้แทยการลาดสายเคเบิลที่มีต้นทุนสูง ไม่คุ้มค่าพอที่เอกชนจะลงทุนเพื่อหวังผลทางธุรกิจ เทคโนโลยีการสื่อสารไร้สายจึงเข้ามาเป็นตัวเลือก โดยประเทศไทย และล่าสุดที่กำลังกล่าวถึง คือ 3G ที่กำลังจะมีให้บริการในปี 2552 นี้ แต่อีกเทคโนโลยีที่ไล่บี้กันมาตลอด คือ ไวแมกซ์ ที่เป็นอินเทอร์เน็ตไร้สายความเร็วสูง ที่มีรัศมีสัญญาณไกลกว่าไวไฟ และเลือกใช้ได้ทั้งแบบตรึงกับที่ และแบบเคลื่อนที่ ส่วนรัศมีสัญญาณก็กว้างไกลกว่า 30 กิโลเมตร ทำให้เป็นอีกทางเลือก สำหรับผู้ให้บริการที่ต้องการสร้างโครงข่ายของตัวเองในราคาประหยัด หรือใช้เป็นโครงข่ายในพื้นที่ห่างไกล เมื่อไม่นานมานี้ กระทรวงไอซีที และบริษัทอินเทล ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย) จำกัด ได้จัดงานเสวนาที่น่าสนใจ “Thailand Broadband Forum 2008” เพื่อเชิญผู้ที่อยู่ในวงการโทรคมนาคม มาร่วมถกหาแนวทางเร่งการใช้บรอดแบนด์พัฒนาเศรษฐกิจของไทย ให้แข่งขันได้ในเวทีโลก โดยงานนี้อินเทลโต้โผใหญ่ของงาน และผู้สนับสนุนเทคโนโลยีไวแมกซ์ ได้ตั้งปณิธาณ “5 by 10” หรือการผลักดันให้มีบรอดแบนด์ 5 ล้านพอร์ตในปี ค.ศ.2010 โดยงานนี้มีคนในวงการโทรคมนาคม มาร่วมให้ความเห็นกันคับคั่ง นายธานีรัตน์ ศิริปะชะนะ ผู้ตรวจราชการกระทรวงไอซีที กล่าวถึง “ปณิธาณ “5 by 10” ว่า ทางกระทรวงฯ มีเป้าหมายที่จะนำเอาบรอดแบนด์เข้ามาลดช่องว่าง ในการเข้าถึงไอซีทีของคนในที่ห่างไกล ดูได้จากที่กระทรวงฯ มีการจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้ไอซีทีชุมชนกว่า 100 ชุมชนทั่วประเทศ เมื่อก่อนเคยมองกันว่าในแง่การให้บริการบรอดแบนด์ ไทยตามหลังเป็นอันดับ 3 รองจากสิงคโปร์ และมาเลเซีย แต่วันนี้เวียดนามแซงหน้าไปแล้ว เขามีคนใช้อินเทอร์เน็ตถึง 17 ล้านคน กัมพูชา และลาวมีบริการไวแมกซ์ และมือถือ 3G ใช้ ส่วนเมืองไทยพูดมานานแต่ยังไม่มีให้ใช้ ปณิธาณของอินเทล ก็ถือเป็นตัวกระตุ้นให้กระทรวงไอซีที ได้เร่งดำเนินการเรื่องนี้ให้บรรลุผล ด้าน ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ รองประธานมูลนิธิสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย หรือ TDRI และนักวิชาการด้านโทรคมนาคม ให้ความเห็นว่า หากมองคำจำกัดความของบรอดแบนด์แล้ว จะเป็นตัวที่ทำให้ปริมาณข้อมูลไหลผ่านได้มากขึ้น ด้วยทราฟฟิกเร็วเกิน 256 Kbps ทำให้เพิ่มจากเชิงปริมาณคนใช้งานไปสู่เชิงคุณภาพ ที่นำไปเพิ่มประสิทธิภาพในการทำธุรกิจ เข้าถึงคอนเทนท์ที่มีความซับซ้อน ที่อินเทอร์เน็ตแนโรว์แบนด์ทำไม่ได้ จากการสำรวจคคนไทยใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อการหาข้อมูลมากที่สุด รองประธาน TDRI ให้ความเห็นต่อว่า อย่างไรก็ตามจากผลสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ในกลุ่มตัวอย่างครัวเรือน 30,000 หลังคาเรือนทั่วประเทศพบว่า จำนวนผู้ใช้งานบรอดแบนด์ลดลงจากปี 2549 ที่ 52.8% ในปี 2550 เหลือแค่ 48% เท่ากับว่าสัดส่วนผู้ใช้บรอดแบนด์ลงลง หรือไม่โตขึ้นเลย ตรงนี้เป็นสัญญาณว่าอนาคตของการใช้งานบรอดแบนด์เมืองไทย ขณะนี้ ไม่ค่อยสดในเท่าใด หรือ เป็นวิกฤติการณ์บรอดแบนด์ (Broadband Crisis) ปัญหานี้ปัจจัยส่วนหนึ่งเป็นผลจาก การชะลอการลงทุนของภาคโทรคมนาคม ปัญหาสภาพเศรษฐกิจ โดยค่าบริการบรอดแบนด์เมื่อเทียบรายได้ประชากรคนไทยอยู่ที่ 11% นับว่าสูงเกินไป ดร.สมเกียรติ ให้ความเห็นเสริมว่า ปัญหาบรอดแบนด์ ขณะนี้ ราคาแพง ก็มาจากโครงสร้างต้นทุนไม่ดี การแข่งขันยังไม่น้อยเกินไป ตลาดผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตยังมีการผูกขาด โดยเจ้าของโครงข่าย รวมถึงค่าเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตไปต่างประเทศก็สูง แม้ว่า กทช.จะออกมากำกับดูแล และให้ใบอนุญาตก็ตามแต่ผู้เล่นยังน้อยเกินไป ที่จะสร้างนัยยะสำคัญต่อตลาด ดังนั้นการที่โอเปอเรเตอร์หันมามองไวแมกซ์เป็นอีก 1 ทางเลือกที่ทำให้ ต้นทุนการวางโครงข่ายลดลงถึง 30% โดยในมุมผู้ให้บริการมือถือ เชื่อว่าอยากมีเพื่อใช้ขยายเครือข่ายมือถือมากกว่า ให้บริการบรอดแบนด์โดยตรง ดังนั้นจะหวังให้ค่ายมือถือดันคงไม่ได้ กทช.ต้องอนุญาตให้รายใหม่ๆ เข้ามาทำ ส่วน นายเอกรัศมิ์ อวยสินประเสริฐ กรรมการผู้จัดการ บ.อินเทลฯ ให้ความเห็นว่า ส่วนตัวรู้สึกเป็นห่วงเกี่ยวกับบรอดแบนด์ว่า รัฐบาลได้มองเรื่องนี้เป็นวาระแห่งชาติอยู่หรือไม่ แม้ว่าทางกระทรวงไอซีทีจะได้ใส่ในแผนแม่บทเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร พ.ศ.2552-2556 ก็ตาม แต่ก็ยังไม่เห็นอะไรที่เป็นรูปธรรม ในการทำให้คนหันมาใช้บรอดแบนด์ เพื่อตอบคำถามที่ว่า “เราใช้บรอดแบนด์เพื่ออะไร” ภาครัฐมีนโยบายมาว่าทำให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูล แต่ทุกหน่วยงานของรัฐ ควรเชื่อมโยงข้อมูลที่มีเข้าด้วยกันก่อน เพื่อให้เข้าถึงบริการออนไลน์ หรือแอพลิเคชันที่เห็นเป็นรูปธรรม รวมถึงการใช้เพื่อเช็คอีเมล์ สนทนาออนไลน์ สตรีมมิ่งดูวิดีโอ และ ส่งไฟล์ข้อมูลขนาดใหญ่ กก.ผจก.บริษัทอินเทลฯ กล่าวเสริมว่า วันนี้เราสามารถเพิ่มความสามารถในการแข่งขันได้ แต่ถ้าหากบรอดแบนด์ยังกระจุกตัวแค่ในเมือง เพราะคนต่างจังหวัดไม่รู้ว่าจะใช้ไปทำไม ผู้ให้บริการก็ไม่อยากลงทุน เพราะไม่คุ้ม ดังนั้นเพิ่มประสิทธิภาพได้มากแค่ไหน ต้องบอกให้คนต่างจังหวัดรับรู้ อาทิ ธุรกิจเอสเอ็มอี เขาก็พอรรุ้ว่าเอาไปใช้แล้วเราจะเสียเปรียบในการติดต่อสื่อสารน้อยลง หรือการทำงานแบบ Tele Work ก็ลดการเดินทางไม่เปลืองพลังงาน หรือตามโรงเรียนที่กระทรวงศึกษาพยายามผลักดัน ให้มีอินเทอร์เน็ตโรงเรียน เพื่อให้เด็กได้เข้าถึงแหล่งความรู้ใหม่ๆ แม้แต่งานด้านความมั่นคง ที่ใช้กับเครือข่ายกล้องวงจรปิด เป็นต้น “การสร้างให้เมืองหลวงขยายใหญ่ขึ้น แล้วละเลยชีวิตความเป็นอยู่ของคนในชนบท จะสร้างปัญหาช่องว่าง ความเหลือมล้ำในการประกอบอาชีพ คนจากต่างจังหวัดก็จะมุ่งหน้าเข้ามาหางาน เพราะมีความรู้น้อย หากเรามีอินเทอร์เน็ตไร้สายครอบคลุมเมือง อาจทำให้คนเข้าถึงความรู้ได้มากขึ้น และจะเป็นโครงสร้างพื้นฐานให้บริษัทใหญ่ หันไปลงทุนตั้งสำนักงาน หรือ โรงงานในต่างจังหวัดบ้าง ดังนั้นเมื่อบรอดแบนด์สามารถให้ความรู้ และการสร้างงาน เรื่องแบบนี้ต้องเป็นวาระแห่งชาติ และ กทช.ต้องมีกรอบการทำงานที่สอดคล้องกัน เกื้อให้เกิดการขยายตัว ทั้งหมดนี้ก็จะทำให้เราลดช่องว่างการเรียนรู้ และการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้” นายเอกรัศมิ์ กล่าว งานเสวนาผู้ที่อยู่ในวงการโทรคมนาคมครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้าย เพื่อส่งท้ายปี 2551 ปี เป็นปีหนูที่สร้างความวุ่นวายป่วนไปทั่วเมือง ทำให้บรรยากาศในการลงทุน หรือ สภาพเศรษฐกิจ การเมือง ดูไม่สดใส แต่เชื่อว่าในปีหน้าเมื่อแผนการต่างๆ ที่ได้กำหนดไว้ทั้ง 3G และไวแมกซ์ ได้ลงมาเป็นรูปร่างให้เห็นแล้ว ประเทศไทยก็น่าจะกลับมามีแรงวิ่งได้อีกครั้ง แม้จะไปช้า แต่ถ้าคนอื่นก็ยังล้มลุกคลุกคลาน ก็น่าจะไล่จี้ผู้นำได้ ทั้งนี้การมีบรอดแบนด์ 5 ล้านพอร์ตในอีก 2 ปีหน้าอาจจะช่วยให้เป็นจริงได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เศรษฐกิจก็ต้องดี คนมีงานทำ และการเมืองต้องนิ่ง เพราะหากไม่นิ่ง เรื่องที่พูดนี้ก็อาจจะเป็นฝันกลางวันอีกหนึ่งตื่นของเมืองไทยก็ได้... จุลดิส รัตนคำแปง Itdigest@thairath.co.th
|