• พลิก เขาโล้น เป็น ทุ่งกระเจียวใหญ่ แหล่งท่องเที่ยวพิจิตร |
โพสต์โดย ตนข่าว , วันที่ 15 พ.ค. 64 เวลา 22:29:33 IP: Hide ip |
กด like เพื่อติดตามข่าวสารดีๆ จาก cmprice.com VVVVVV
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
ลิงก์ผู้สนับสนุน
© เนื้อหาข่าว/กระทู้
พลิก “เขาโล้น” เป็น “ทุ่งกระเจียวใหญ่” แหล่งท่องเที่ยวพิจิตร
“ไม่มีรางวัลสำหรับความพยายาม รางวัลมีไว้สำหรับความสำเร็จ”
เศรษฐ์กรณ์ นาศพัฒน์ หรือ ผู้ใหญ่ธง ผู้ใหญ่บ้านจิตอาสา หมู่ 6 บ้านเขาโล้น ตำบลเขาเจ็ดลูก อำเภอทัพคล้อ จังหวัดพิจิตร ได้กล่าวอย่างเชื่อมั่นจากประสบการณ์การทำงานเอาจริงเอาจังต่อเนื่องมานานหลายปีของที่นี่
เขาได้ริเริ่มที่จะปลุกจิตสำนึกให้กับสมาชิกในชุมชน และกระตุ้นให้ทุกคนมีจิตอาสาทำงานพิทักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของหมู่บ้าน กระทั่งผืนป่าที่เคยเป็นป่าเสื่อมโทรมกลายมาเป็นป่าชุมชนที่อุดมสมบูรณ์ และยังเป็นแหล่งอาหารทางธรรมชาติที่มีคุณค่าและปลอดภัยให้กับทุกคน
“หมู่บ้านเขาโล้น” แม้ที่ตั่งจะอยู่ใกล้เขตป่าสงวนแห่งชาติ แต่หมู่บ้านกลับมีชื่อ หมู่บ้านเขาโล้น เนื่องจากชาวบ้านกลุ่มแรกที่เข้ามาอาศัยอยู่มีอาชีพหลักคือ การเผาถ่านจึงทำให้ผืนป่าแถวนี้ลดน้อยและเสื่อมโทรมลง
การที่ต้องเห็นป่าเสื่อมโทรมลงทั้งที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นป่าที่อุดมสมบูรณ์ ทำให้ผู้ใหญ่ธงปักธงไว้ในใจเสมอว่า สักวันหนึ่งเขาจะต้องทำให้ผืนป่าเขาโล้นกลับมาเป็นเหมือนเดิมอีกครั้งให้ได้ เมื่อมีโอกาสในการมาเป็นผู้นำชุมชน ผู้ใหญ่ธงจึงชักชวนชาวบ้านมาร่วมกันฟื้นฟูผืนป่าแห่งนี้
สำหรับเขาเป้าหมายนี้ไม่มีอะไรง่าย และไม่มีอะไรสำเร็จทันทีด้วยการเริ่มต้นเพียงครั้งแรกครั้งเดียว
การจะชักชวนให้ทุกคนมาร่วมแรงร่วมใจกันทำโดยไม่มีค่าตอบแทนนั้นต้องใช้เวลา เขาเองก็ใช้เวลาพอสมควรกว่าที่จะสร้างกลุ่มชาวบ้านให้มาร่วมเป็นอาสาสมัครพิทักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหมู่บ้าน
เขาบอกกับชาวบ้านมาตลอดว่า การเป็นจิตอาสานั้นไม่มีค่าตอบแทนนะ แต่สิ่งที่เราจะได้รับคือ “น้ำใจ” และการร่วมแรงร่วมใจกันของคนที่เห็นคุณค่าในสิ่งที่เราทำ ทั้งจากกองทุนหมู่บ้าน โรงสี โรงปุ๋ยในชุมชน ฯลฯ และเมื่อเวลาผ่านไปจากราษฎรอาสาสมัครผู้พิทักษ์ป่าก็ค่อยพัฒนามาเป็น “อาสาสมัครพิทักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหมู่บ้าน”
จากการทำงานจิตอาสาอย่างต่อเนื่องทำให้มีกลุ่มชาวบ้าน 40-50 คนที่มาเข้าร่วมอบรมอาสาสมัครพิทักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหมู่บ้าน โดยเฉพาะประเด็นการฝึกอบรมเพื่อการจัดการไฟป่า ซึ่งมีเจ้าหน้าที่จากศูนย์เรียนรู้ป่าชุมชน เจ้าหน้าที่ป่าไม้ มาฝึกอบรมการดับไฟป่าให้ และทางกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ก็ได้จัดอบรมให้ความรู้เรื่องการจัดเก็บใบไม้จากการทำแนวกันไฟมาทำปุ๋ย ซึ่งเป็นการจัดการอีกรูปแบบหนึ่งช่วยลดปัญหาเกิดการเผาไหม้เพราะเอาพวกเชื้อเพลิงเหล่านั้นมาทำเป็นปุ๋ย
“เมื่อก่อนไฟป่าเกิดขึ้นบนเขาทุกปี บางครั้งก็เกิดจากการเผาฟางจากการทำการเกษตรของคนในชุมชน บางครั้งก็เกิดจากการที่มีคนเข้าไปหาของป่า และเมื่อก่อนนี้ชาวบ้านที่เลี้ยงวัวก็ปล่อยวัวให้ขึ้นไปหากินบนเขา วัวก็กินกล้าใหม่ที่พึ่งงอกหมด ป่าเลยไม่มีโอกาสฟื้นตัว ชุมชนจึงต้องสร้างกติการ่วมกัน หากใครบุกรุกทำลายป่าปรับ 2,000 บาท”
ผู้ใหญ่ธงเท้าความถึงบรรยากาศเก่าก่อนที่ชุมชนยังไม่ตระหนักถึงความสำคัญของการมีป่า บางครั้งมีเหตุการณ์ไฟป่าเกิดขึ้น ก็มักจะมองกันเฉยๆ ไม่ทำอะไร แม้ว่าหลายคนอาจจะอยากทำ อยากแก้ไข แต่ว่าการไม่ได้รวมกลุ่มก็ทำให้ไม่มีแรงพอ จนหลังจากได้ฝึกอบรมร่วมกันกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เมื่อมีไฟป่าก็จะประสานงานกับ 1669 ทางอบต. ก็จะประสานรถดับเพลิงมาช่วย ในพื้นที่ก็จะประกาศเสียงตามสาย ทุกคนในชุมชนก็จะมาช่วยกัน ส่วนใครที่ไม่สามารถขึ้นไปดับไฟป่าได้ก็จะซื้อน้ำดื่ม ของกิน หรือฝากอาหารขึ้นไปแทน
อาสาสมัครที่ผ่านการฝึกอบรมนั้นนอกจากยามมีไฟป่าจะช่วยกันขึ้นไปช่วยกันดับไฟป่าแล้ว ในยามปกติยังช่วยกันลาดตระเวนทำแนวกันไฟหมู่บ้าน มีทีมออกตรวจการเฝ้าระวังไฟป่า พร้อมทั้งปลูกป่าเพิ่มจึงทำให้ปัจจุบันไม่มีไฟป่าลุกลามมากเหมือนเมื่อก่อน
เมื่อป่าที่เคยหัวโล้นค่อยๆ ฟื้นคืนมา ในที่สุด ป่าก็ตอบแทนแรงงานทุกคนที่ช่วยกันพิทักษ์ทรัพยากรธรรมชาติด้วยการมอบอาหารที่ดี ไม่ว่าหน่อไม้ ผักหวาน เห็ด ดอกกระเจียว และของป่านานาชนิด ให้ได้เก็บกินอย่างเพียงพอและเหมาะสม
ตอนนี้ชุมชนได้รู้แล้วว่าป่ามีความสำคัญสำหรับทุกครัวเรือน การดูแลป่าจึงกลายเป็นเรื่องของทุกคน ชุมชนจึงร่วมกันสร้างกฎกติกาในการดูแลรักษาป่า หากใครละเมิดกฎก็จะช่วยกันตักเตือน
นอกจากนี้ลูกหลานคนในชุมชนก็ยังได้มาฝึกอบรมเป็นมัคคุเทศก์น้อยพานักท่องเที่ยวเดินชมป่า เด็กๆ สามารถมีรายได้พิเศษจากการท่องเที่ยว ขณะที่ชุมชนก็ก่อเกิดรายได้ที่เริ่มจากการดูแลป่าและเห็นคุณค่าพืชท้องถิ่นในบ้านของพวกเขาเอง
จากการปกป้องป่าจนนำไปสู่การฟื้นฟูได้แล้ว ผู้นำชุมชนก็เริ่มหาทางขยายเครือข่ายสร้างความร่วมมือและพัฒนากลไกเพื่อทำให้คนในชุมชนมีความอยู่ดีกินดีให้มากขึ้น เขาเชื่อว่าการฟื้นฟูป่าจะยั่งยืนได้ถ้าคนในชุมชนมีอาชีพและรายได้ที่เพียงพอในการดำรงชีวิต
ผู้ใหญ่ธงได้ไปร่วมอาสาทำเสวียน ปลูกต้นไม้ การบำบัดน้ำเสีย ร่วมอบรมกิจกรรมหลาย ๆ ด้านเพื่อจะนำความรู้ต่างๆกลับมาใช้ในการสร้างและพัฒนาบ้านเขาโล้นให้ได้มากที่สุด รวมถึงเรื่องการจัดการขยะในครัวเรือน
เนื่องจากในพื้นที่จะไม่มีรถเก็บขยะ ผู้ใหญ่ธงจึงจัดให้มีการอบรมเกี่ยวกับเรื่องของการจัดเก็บขยะในครัวเรือน มีการอบรมการทำหลุมขยะสด ตอนหลังจึงได้ทำเป็นตัวอย่าง คือการทำ “คีโฮ” คือทำจุดทิ้งขยะสดไว้จุดใดจุดหนึ่ง และจะมีการทำการปลูกผักไว้รอบคีโฮ เมื่อรดน้ำปุ๋ยก็จะกระจายในบริเวณที่เรากั้นไว้ และรอบบริเวณหลุมคีโฮก็จะปลูกทุกอย่างเช่น ข่า ตะไคร้ โหระพา กระเพรา ซึ่งอยู่ในพื้นที่เดียวกัน ทำให้ทุกบ้านที่ทำ มีแปลงผักปลอดสารเป็นของตัวเอง
ส่วนขยะที่ย่อยสลายไม่ได้ก็สอนให้ชาวบ้านช่วยกันคัดแยกขยะ และเร็วๆ นี้จะจัดตั้งกลุ่มธนาคารในอนาคต เพื่อจะได้มีการจัดการให้รถมารับซื้อขยะและลดการเผาขยะในพื้นที่
“ดอกกระเจียวเล็กอาจมีอยู่ทั่วไป แต่ถ้าดอกกระเจียวใหญ่มีอยู่ที่นี่ที่เดียว คือ บ้านเขาโล้น”
ผู้ใหญ่ธงพูดด้วยความภาคภูมิใจ
หมู่บ้านและชุมชนเล็กๆ ที่มีดอกกระเจียวบานสะพรั่งในช่วงฤดูฝน
ใครจะไปคิดว่าจากป่าหัวโล้นจะกลายเป็นป่าธรรมชาติและมอบดอกกระเจียวคืนมาให้บานสะพรั่งจนสามารถเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของพิจิตรได้ และนี่คือรางวัลของคนในชุมชนที่ช่วยดูแลรักษาป่าไว้
ลิงก์ผู้สนับสนุน
กระทู้/ข่าว อื่นๆ ที่น่าสนใจ
|
|
|
|
แจ้งลบกระทู้นี้
อ่าน 407 |
|
แสดงความคิดเห็น |
โดย ตนข่าว
IP: Hide ip
, วันที่ 15 พ.ค. 64
เวลา 22:29:33
|