กด like เพื่อติดตามข่าวสารดีๆ จาก cmprice.com VVVVVV
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
ลิงก์ผู้สนับสนุน
© เนื้อหาข่าว/กระทู้
หลังที่พบพระศิวะที่ริมน้ำปิง ใต้สะพานศีวิชัย ฝั่งลำพูน เมื่อวันที่ 2 ม.ค.58 ที่ผ่านมา ในโลกออนไลน์ ได้มีเอกสาร แพร่กระจาย ในลักษณะเกี่ยวกับ อายุ ของรูปปั้นองค์พระศิวะ "ที่ผิดพลาด" ที่เกิดจากการสื่อสาร ดังนั้น เพื่อความถูกต้อง ของข้อมูล ทางพิพิธภัณฑ์ลำพูน โดย อาจารย์ ลักษมณ์ บุญเรือง หัวหน้าพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติหริภุญไชย จึงได้ออกมาชี้แจงผ่านเฟสบุ๊ค โดยสรุปว่า "เป็นพระศิวะจริง อายุไม่ถึง100ปี และสร้างจากคอนกรีตเสริมเหล็ก"
โดยการออกมาชี้แจงครั้งนี้เป็นเพียงข้อมูลเท็จจริงตามหลักวิชาการเท่านั้น
ด้านนายเทอดศักดิ์ เย็นจุระ (หัวหน้ากลุ่มอนุรักษ์โบราณสถาน สำนักศิลปากรที่ 3) ได้ชี้แจงเรื่องนี้ว่า "เรื่องศรัทธาความเชื่อ นับถือส่วนบุคคล ต้องแยกแยะออกจากเรื่องการพิสูจน์ทางวิชาการนะครับ เรายังนับถือพระกราบไหว้บูชาโดยไม่ได้สนใจว่าพระใหม่หรือเก่า งานวิชาการก็เพื่อเพียงแค่พิสูจน์ให้ทราบถึงศิลป ยุคสมัย อายุการสร้างเพื่อนำมาวิเคราะห์ประกอบ หาที่มาที่ไปเท่านั้น"
เอกสารด้านล่างนี้คือเอกสารที่ผิดพลาด ได้แพร่และแชร์กันในโลกออนไลน์
เทวรูปพระศิวะ บริเวณใต้สะพานศรีวิชัย
ตำบลริมปิง อำเภอเมืองลำพูน จังหวัดลำพูน
เมื่อวันที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๕๗ ที่ผ่านมา บริเวณใต้สะพานศรีวิชัย สะพานที่เชื่อมระหว่างตำบลหนองตอง อำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่ กับตำบลริมปิง อำเภอเมืองฯ จังหวัดลำพูน และเป็นถาวรวัตถุแห่งสุดท้ายในผลงานของนักบุญแห่งล้านนา ครูบาเจ้าศรีวิชัย ได้มีการค้นพบประติมากรรมรูปเคารพพระศิวะ หรือพระอิศวรตรงริมตลิ่งฝั่งตำบลริมปิง ระหว่างการถากถางพื้นที่เพื่อเตรียมงาน รุกขมูลกรรม(ปริวาสกรรม) ซึ่งเป็นประเพณีของพุทธศาสนิกชนชาวล้านนาที่จะจัดกันในช่วงฤดูหนาวระหว่างเดือน ๓ – ๕ (เหนือ) ตรงกับช่วงเดือนธันวาคม – กุมภาพันธ์ตามปฏิทินสากล
การค้นพบครั้งนี้ได้สร้างปรากฏการณ์ตื่นเทวรูป และพลังศรัทธา ประกอบกับเป็นช่วงใกล้เข้าสู่ปีใหม่ จึงมีผู้คนเดินทางมาดู และสักการะขอพร เป็นจำนวนมาก จึงได้มีการตั้งเต้นท์และปรัมพิธีชั่วคราว ประกอบกับมีโครงการซื้อที่ดินบริเวณนี้เพื่อสร้างอนุสาวรีย์ครูบาเจ้าศรีวิชัย เป็นอนุสรณ์ไว้สำหรับชาวตำบลริมปิง เพื่อรำลึกถึงคุณงามความดีที่ครูบาฯ ได้กระทำไว้ให้กับชาวตำบลริมปิง จึงได้ตั้งกล่องบริจากสบทบทุนจัดซื้อที่ดินไว้บริเวณนี้ด้วย
อย่างไรก็ตาม กรณีของการตั้งกล่องบริจาค จะไม่ขอกล่าวถึง เนื่องจากเป็นเรื่องของคณะกรรมการท้องถิ่นและศรัทธาของประชาชนชาวล้านนาเอง ในที่นี้จะขอกล่าวถึงลักษณะของเทวรูปพระศิวะที่ได้ค้นพบ ณ ที่แห่งนี้ เพื่อเป็นความรู้ให้กับผู้สนใจทั่วไปได้ทราบถึงที่มา เทวลักษณะ และรูปแบบศิลปะ ของเทวรูปองค์นี้ และลักษณะทั่วไปของพระศิวะตามหลักประติมานวิทยา
ลักษณะของประติมากรรมรูปนี้ เป็นรูปบุคคลเพศชาย ประทับนั่งขัดสมาธิเพชร มีสี่กร พระหัตถ์ขวาบนถือวัตถุเป็นแท่งยาวมีร่องรอยการหักหายบริเวณส่วนยอด สันนิษฐานว่าจะเป็นอาวุธสามง่าม หรือตรีศูล พระหัตถ์ซ้ายบน ถือกลองสองหน้าแบบแขก ที่เรียกว่าบัณเฑาะห์ พระหัตถ์ขวาล่าง ยกขึ้นด้านหน้า ตั้งพระหัตถ์ขึ้นผายไปด้านหน้า จีบนิ้วพระหัตถ์หัวแม่มือและนิ้วชี้เข้าหากัน ผายนิ้วพระหัตถ์ที่เหลือออก แสดงปางประทานธรรม หรือแสดงธรรม พระหัตถ์ซ้ายล่างวางอยู่บนพระชงฆ์ มีพระวรกายตั้งตรงสง่างาม
ลักษณะพระเศียรอ่อนหวาน พระเกศายาวขมวดขึ้นด้านบนเป็นมวยผมและปล่อยตกลงมา บริเวณกึ่งกลางมวยผม ปรากฏสัญลักษณ์คล้ายพระจันทร์เต็มดวง (ตามตำราควรจะทัดด้วยพระจันทร์เสี้ยว) ปรากฏพระเนตรที่สามเป็นแนวตั้งอยู่ระหว่างกลางพระนลาฎ(หน้าผาก) การประดับพระวรกายด้วยสังวาลนาคี ประทับนั่งอยู่บนอาสนะที่ทำจากหนังเสือ และปรากฏหัวเสืออยู่ด้านหน้า
ลักษณะเช่นนี้ทำให้สามารถกำหนดได้ว่า ประติมากรรมชิ้นนี้คือ รูปของพระศิวะ หรือพระอิศวร ตามความเชื่อในศาสนาพราหมณ์ฮินดู และกำหนดรูปแบบตามลักษณะทางศิลปะโดยเทียบเคียงกับประติมากรรมรูปพระศิวะจาก ศาลพระศิวะที่ได้รับการเคารพบูชาจากผู้คนจำนวนมากในกรุงเทพมหานคร ที่ศาลพระศิวะ ปิ่นเกล้า ใกล้กับเซนทรัลปิ่นเกล้า ว่าเป็นรูปแบบของพระศิวะในยุคปัจจุบัน
เมื่อดูจากวัสดุการสร้าง พบว่าสร้างจากการหล่อด้วยคอนกรีตมีการเสริมเหล็กต่อช่วงพระกรที่ยื่นออกมา จึงน่าจะมีอายุไม่เก่ามากนักจากวัสดุที่ใช้ทำ และประติมากรรมรูปเคารพที่มักจะถูกสร้างขึ้นเพื่อการเคารพบูชาในศาสนาฮินดูตั้งแต่โบราณมานั้น ไม่นิยมการสร้างพระศิวะในรูปมนุษย์มากนัก แตกต่างจากการสร้างเทวรูปพระนารายณ์ แต่จะนิยมสร้างสัญลักษณ์ของพระองค์ เป็นศิวลึงค์ มากกว่า
ความเชื่อต่างๆ เกี่ยวกับพระศิวะ
โดยทั่วไปรูปแบบที่ได้รับความนิยมในการบูชาพระศิวะ คือ ศิวลึงค์ อันเป็นสัญลักษณ์ของเพศชาย นอกจากนี้เมื่อปรากฏในร่างมนุษย์ มักจะสร้างเป็น พระศิวะนาฏราช
ศิวะนาฏราช คือปางที่พระศิวะมีการร่ายรำอันเป็นต้นแบบของท่ารำนาฏศิลป์ เรียกว่า "ปางนาฏราช" เมื่อแปลงกายลงไปปราบฤๅษีที่ไม่ประพฤติตนอยู่ในเพศดาบส ซึ่งต่อมาชาวฮินดูได้ถือเอาท่าร่ายรำนี้เป็นต้นแบบของการร่ายรำต่าง ๆ มาตราบจนปัจจุบัน
นอกจากนี้แล้ว พระศิวะยังถือว่าเป็นเจ้าแห่งผีหรือปีศาจอีกด้วย โดยมีพระนามเรียกว่า "ปีศาจบดี" หรือ "ภูเตศวร" นอกจากนี้แล้วพระอิศวร ยังมีพระนามอื่นอีก เช่น "รุทร", "ศังกร", "ศุลี", "นิลกัณฐ์", "หระ" หรือ "อีสาน และยังเป็นเทพประจำทิศตะวันออกเฉียงเหนือ หรือ อีสาน อีกด้วย และยังเป็นเทพประจำทิศตะวันออกเฉียงเหนือ หรือ อีสาน อีกด้วย
นอกจากนี้แล้ว ยังเชื่อว่าพระศอของพระศิวะมีสีดำ ทั้งนี้เนื่องจากพระองค์ได้ยาพิษของพญานาคไว้เมื่อครั้งกวนเกษียณสมุทรทำน้ำอมฤตเพื่อช่วยโลก ซึ่งบทหนึ่งในกามนิต-วาสิฏฐี วรรณกรรมอิงพุทธศาสนาได้อ้างถึง สีของความรักแท้ ว่าเป็นสีดำ เสมือนสีศอพระศิวะ
รูปลักษณ์ของพระศิวะนั้น มีปรากฏมากมายหลายลักษณะด้วยกัน แต่จุดเด่นที่ถือได้ว่าเป็นเอกลักษณ์ของพระศิวะก็คือ รูปพระจันทร์เสี้ยวและดวงตาดวงที่ 3 บนหน้าผาก สร้อยประคำที่เป็นหัวกะโหลก และงูที่คล้องพระสอหรือคอของพระองค์อยู่นั้น ก็ถือได้ว่าเป็นเอกลักษณ์ของพระศิวะที่เป็นที่รู้จักกันแพร่หลาย เล่ากันว่า ที่มาของงูพิษที่พระศิวะทรงคล้องคอไว้ประดับองค์ เป็นเอกลักษณ์พิเศษนั้น ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว เพราะพระองค์ไม่ได้ไปจับมาจากพงหญ้าป่าใหญ่ที่ไหน แต่มีผู้ส่งมามาให้พระองค์โดยเฉพาะ คนผู้นั้นก็คือนักบวช นักบวชผู้นี้มีภรรยาหลายคน แต่บรรดาภรรยาของเขาเกิดมาหลงใหลในเสน่ห์อันล้ำลึกขององค์พระศิวะ ด้วยความไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง นักบวชจึงส่งเสือร้ายตัวโตไปจัดการสังหารพระศิวะ แต่ว่าพระศิวะกลับเป็นฝ่ายพิชิตเสือ ด้วยพระหัตถ์ของพระองค์อย่างสบายๆ แถมยังฉีกเอาหนังสือมาเป็นที่ปูพื้นไว้รองนั่งอีกด้วย เมื่อส่งเสือมาไม่ได้ผล นักบวชผู้เคียดแค้นแสนริษยา ก็ส่งอสรพิษร้ายตัวใหญ่มาจัดการพระศิวะ แต่อสรพิษร้ายกับถูกพระศิวะร่ายเวทมนต์สยบเอาไว้ได้โดยที แล้วพระองค์ก็จับเอางูพิษนั้นมาคล้องคอ เป็นเครื่องประดับสุดพิสดารไม่ซ้ำใคร นักบวชผู้ไม่ยอมแพ้ยังคงคิดลองของ ส่งอสูรร้ายมาสังหารพระศิวะในเวลาต่อมา และพระศิวะก็ทรงสยบอสูรร้ายตนนั้นได้ด้วยท่าทีลีลาร่ายรำอันน่าพรั่นพรึง ซึ่งสะท้านสวรรค์สะเทือนเดิน แม้แต่บรรดาทวยเทพทั้งปวง ก็พากันมาเคารพนบนอบยอมรับในความยิ่งใหญ่ของมหาเทพองค์นี้
พระศิวะ นั้นเป็นเทพที่นิยมประพฤติองค์เป็นโยคีหรือผู้ถือศีล ดังนั้นรูปของพระองค์จึงมักปรากฏเป็นเทพที่ทรงเครื่องทรงคล้าย พวกโยคีหรือพวกฤาษีสยายผมยาวแล้วม่นมวยผมเป็นชฎาบนศีรษะ ทรงนุ่งห่มด้วย หนังเสือ คัมภีร์โบราณหลายเล่มนั้น กล่าวถึงสีพระวรกายของพระศิวะแตกต่างกันไป บางคัมภีร์ระบุว่า พระวรกายของพระศิวะนั้นเป็นสีแดงเข้มราวกับเปลวไฟหรือโลหิต บางคัมภีร์ว่าพระวรกายขององค์พระศิวะนั้นเป็นสีขาว นวล บริสุทธิ์ ดั่งสีของพระจันทร์ แต่หลายๆคัมภีร์กล่าวไว้ตรงกันว่า พระศิวะนั้นเป็นเทพที่มีพระเนตร ๓ ดวง ดวงที่ ๓ นั้นจะปรากฏขึ้นอยู่บนพระนลาฏ
บรรณานุกรม
นงคราญ สุขสม . “คุยเฟื่องเรื่องลึงค์” , เมืองโบราณ . ปีที่ ๒๙ ฉบับที่ ๑ (มกราคม – มีนาคม , ๒๕๔๖), หน้า ๕๔ – ๖๐.
ประยูร อุลุชาฎะ . เทวโลก . กรุงเทพฯ : เมืองโบราณ, ๒๕๓๘.
ผาสุข อินทราวุธ . รูปเคารพในศาสนาฮินดู . กรุงเทพฯ : ภาควิชาโบราณคดี คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร , ๒๕๒๒.
พงศ์ธร ธาราไชย (เรียบเรียง) . คอนกรีตเสริมเหล็ก : จากแหล่งกำเนิดสู่สยามประเทศ . http://eitprblog.blogspot.com/2014/04/blog-post_17.html
ลักษมณ์ บุญเรือง . การศึกษาท่ารำนาฏศิลป์จากหลักฐานทางโบราณคดีในวัฒนธรรมทวารวดี . สารนิพนธ์ศิลปศาสตรบัณฑิต(โบราณคดี) มหาวิทยาลัยศิลปากร, ๒๕๔๐.
สันติ เล็กสุขุม . ศิลปะสุโขทัย . กรุงเทพฯ : เมืองโบราณ, ๒๕๔๙.
สุภัทรดิศ ดิศกุล, ม.จ. . ศิลปะสมัยลพบุรี . กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยศิลปากร , จัดพิมพ์เนื่องในงานพระราชทานเพลิงศพ ศาสตราจารย์ หม่อมเจ้าสุภัทรดิศ ดิศกุล , ๒๕๔๗.
อรุณศักดิ์ กิ่งมณี . คู่มือชมปราสาทหิน : เทวนิยาย . สกลนคร : หน่วยอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมศิลปกรรมท้องถิ่น สำนักศิลปวัฒนธรรม สถาบันราชภัฏสกลนคร, ๒๕๔๑.
เอกสุดา สิงห์ลำพอง . เทวปฏิมาสยาม . นนทบุรี : มิวเซียมเพรส, ๒๕๕๓.
เอกสุดา สิงห์ลำพอง . “พระตรีมูรติ/พระสทาศิวะ? จากพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร”, ดำรงวิชาการ . (ปีที่ ๘ ฉบับที่ ๑ , ๒๕๕๒) , หน้า ๗๐ – ๘๐.
อาจารย์ ลักษมณ์ บุญเรือง หัวหน้าพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติหริภุญไชย
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
|
|
|