• ข้อเสนอถึงผู้ว่าฯ 9จังหวัดภาคเหนือ และรัฐบาล เพื่อลดปัญหาฝุ่นควันและไฟป่า อย่างยั่งยืน |
โพสต์โดย ตนข่าว , วันที่ 08 เม.ย. 62 เวลา 13:06:07 IP: Hide ip |
กด like เพื่อติดตามข่าวสารดีๆ จาก cmprice.com VVVVVV
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
ลิงก์ผู้สนับสนุน
© เนื้อหาข่าว/กระทู้
เครดิตข้อมูลจาก CCDC: Climate Change Data Center
ข้อเสนอเครือข่ายพันธมิตรมหาวิทยาลัยเพื่อการวิจัย (Research University Network) เรื่อง “การแก้ไขปัญหาหมอกควันและไฟป่าอย่างยั่งยืน
โดยเครือข่ายพันธมิตรมหาวิทยาลัยเพื่อการวิจัย (Research University Network: RUN) Cluster Haze Free Thailand
1. การทบทวนนโยบายห้ามเผา
ที่มาของปัญหา
ในช่วงที่ระยะเวลาที่ผ่าน ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2559-2562 ตามที่รัฐบาลได้ประกาศมาตรการกำหนดช่วงวันห้ามเผาในเขต 9 จังหวัดภาคเหนือตอนบน เป็นระยะเวลา 60 วัน เพื่อลดปัญหาการเกิดหมอกควันจากการเผาทำลายเศษวัชพืช หรือวัสดุทางการเกษตร จากการดำเนินงานที่ผ่านมาเป็นระยะเวลา 2 ปี พบว่า ยังไม่สามารถที่จะช่วยลดปัญหาหมอกควันที่เกิดขึ้นได้อย่างเด็ดขาด ซึ่งสังเกตได้จากจุดความร้อน (Hotspot) ที่ยังเกิดขึ้นทั่วภาคเหนือ และค่าปริมาณฝุ่นละออง PM10 และ PM2.5 ยังเกินค่ามาตรฐานรายวันของประเทศไทยได้กำหนดไว้ที่ 120 และ 50 ug/m3 ตามลำดับ จากสถานการณ์ตลอดระยะ 2 ปี ที่ผ่านมานั้นสะท้อนให้เห็นว่าการกำหนดวันห้ามเผาไม่ได้ช่วยแก้ไขปัญหาหมอกควันแต่อย่างใด
แนวทางแก้ไข
· การศึกษาข้อมูลย้อนหลังเกี่ยวกับการเกิดหมอกควันในแต่ละช่วงเวลา สามารถตรวจสอบข้อมูลได้จากจุดความร้อน (Hotspot) และพื้นที่เผาไหม้ (Burned area) ผ่านทางเวปไซด์ขององค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ (อังกฤษ: National Aeronautics and Space Administration) หรือ องค์การนาซา (NASA), สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) (GISTDA) และ ค่าฝุ่น PM10 และ PM2.5 จากเวปไซด์กรมควบคุมมลพิษหรือ เครื่องวัดฝุ่น DustBoy จากเวปไซด์ www.cmuccdc.org โดยแบ่งเป็นช่วงเวลา ก่อนห้ามเผา ในช่วงห้ามเผา และหลังห้ามเผา จากการวิเคราะห์ข้อมูลตั้งแต่ปี พ.ศ.2559-2562 เป็นการพิสูจน์ว่ามาตรการการกำหนดวันห้ามเผา ไม่ได้ช่วยลดปัญหาหมอกควันแต่อย่างใด
· การจัดทำโซนการเผา โดยอาจจะมีการขออนุญาตเผาเป็นแต่ละพื้นที่แต่ละโซนกันออกไป โดยพิจารณาถึงปัจจัยต่างๆ ในการเผาในแต่ละพื้นที่ เช่น ข้อมูลทางอุตุนิยมวิทยา ลักษณะภูมิอากาศ ค่าปริมาณฝุ่น ณ ตอนนั้น จากนั้นประสานขอความร่วมมือกับส่วนท้องถิ่น ทั้งระดับชุมชน หมู่บ้าน ตำบลหรือจังหวัด ในการจัดสรรพื้นที่สำหรับเผาอย่างชัดเจน และให้ความรับผิดชอบต่อการเผาในแต่ละครั้ง
· เนื่องจากมีผลการศึกษาว่า แหล่งฝุ่นมาจาก ชีวมวลแล้วนั้น ยังมีส่วนที่มาจาก การเผาไหม้บรรพชีวิน (Fossil) ควรจะมีเพิ่มมาตรการในเรื่องนี้ อาทิ ควบคุมการใช้ รถยนต์ที่ใช้น้ำมันดีเซล โดยเฉพาะ ในเขตเมืองช่วงที่ มีค่าสูง ได้แก่ เช้าและเย็น ที่จะช่วยลดแหล่งกำเนิดฝุ่น เนื่องจากจะเป็นแหล่งแล้วยังเชื่อมโยงต่อสุขภาพจากการรับสัมผัส นำไปสู่ โรคระบบทางเดินหายใจ และปอดได้ หรือรณรงค์ให้มีการปรับใช้น้ำมัน ยูโร แทน โดยเริ่มจากรถทางราชการก่อน ไม่ว่ารถโดยสารประจำทาง รถใช้งานเพื่อกิจกรรมต่างๆ อาทิ รถขนขยะ รถตู้ทางราชการ เป็นต้น
2. การทบทวนเกณฑ์มาตรฐานฝุ่นPM2.5 ในประเทศ
ที่มาของปัญหา
การเกิดปัญหาหมอกควันในแต่ละพื้นที่ในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา พบว่า ปริมาณฝุ่นละอองแต่ละพื้นที่มีปริมาณที่แตกต่างกัน บางพื้นที่มีปริมาณหมอกควันที่มีความเสี่ยงสูงต่อคุณภาพชีวิต จึงเป็นปัญหาที่ต้องเร่งสร้างความตระหนักในการแจ้งเตือนภาวะฝุ่นควันในชั้นบรรยากาศแบบ Real-time ที่เป็นมาตรฐานที่ควรพึงระวังไว้ในอนาคต
แนวทางแก้ไข
· การเสนอแนวทางในการปรับลดค่ามาตรฐานฝุ่นควันในแต่ละพื้นที่ให้มีความแตกต่างกันออกไป หรือในระดับภาคเหนือที่ประสบปัญหามอกควันตามบริบทของแต่ละพื้นที่ เช่น ปกติค่ามาตรฐาน PM2.5 เฉลี่ยรายวันของประเทศไทยกำหนดไว้ 50 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร อาจจะจำเป็นต้องปรับให้ลดเท่ากับค่ามาตรฐานของ U.S EPA คือ 35 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร เพื่อเป็นการสร้างความตระหนักและเฝ้าระวังของประชาชนในพื้นที่ในการที่จะควบคุมกิจกรรมที่ก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศก่อนที่เกิดปัญหาภาวะฝุ่นควัน เนื่องจากหากตั้งไว้ 50 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ประชาชนก็อาจจะยังไม่ตระหนักถึงปัญหา อาจจะมีความประมาทเลินเล่อในการไร้การควบคุมการเผา จนเกิดปัญหาหมอกควันที่เกินค่ามาตรฐาน จนไม่สามารถแก้ไขได้ ดังนั้น การตั้งค่ามาตรฐานฝุ่นละอองไว้ในระดับต่ำๆ ไว้ก่อน จะเป็นการทำให้ประชาชนตระหนักและเข้มงวดในการเผามากยิ่งขึ้น เมื่อเราสามารถกำหนดและรักษาค่าฝุ่นละอองไม่เกิน 35 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรได้แล้ว จึงค่อยๆ ขยับลดไปให้เท่ากับค่าของ Guideline ขององค์การอนามัยโลก (WHO) ที่ 25 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ในอนาคต นอกจากนี้ การรายงานค่ามลพิษควรมีการรายงานค่าเฉลี่ยแบบรายชั่วโมง แทนการรายงานค่าเฉลี่ย 24 ชั่วโมง ตามที่เป็นอยู่ในปัจจุบันเพื่อให้เป็นการรายงานค่ามลพิษที่สามารถแจ้งเตือนความรุนแรงได้ทันท่วงที
3. การกำหนดแนวปฏิบัติตนในสภาวะหมอกควัน
ที่มาของปัญหา
สืบเนื่องจากการออกมารณรงค์ ประท้วง จากภาคประชาชนต่อรัฐบาลที่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาหมอกควันได้ แสดงให้เห็นถึงการไร้ประสิทธิภาพในการรับมือปัญหาหมอกควันของหน่วยงานภาครัฐ ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องมีแนวทางหรือคู่มือในการเตรียมการเพื่อรับมือเกี่ยวกับปัญหาหมอกควัน เพื่อลดปัญหาที่เกิดขึ้น ดังเช่นที่ผ่านมา
แนวทางแก้ไข
· การสร้างแนวทางหรือคู่มือการปฏิบัติให้ในแต่ละกลุ่ม เช่น กลุ่มเสี่ยง ได้แก่ เด็ก คนชรา ผู้ป่วยระบบทางเดินหายใจ กลุ่มบุคคลทั่วไป สำหรับเนื้อหาในคู่มือการเตรียมพร้อมรับมือสภาวะหมอกควัน ประกอบด้วยรายละเอียดต่างๆ ดังเช่น การรณรงค์ตรวจเช็คและทำความสะอาดเครื่องปรับอากาศก่อนเกิดหมอกควัน การติดตั้งแผ่นกรองฝุ่น (High Efficiency Particulate Air Filter : HEPA) การแจกจ่ายหน้ากากป้องกันฝุ่น (N95) ก่อนถึงฤดูกาลหมอกควัน รวมถึงกรณีที่จะต้องวางแผนงดกิจกรรมการเรียนการสอน หากมีค่าฝุ่นที่มีความเสี่ยงสูงที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ โดยในแต่ละกลุ่ม สามารถขอความช่วยเหลือจากโครงการ haze free Thailand ในการให้ข้อมูลแนวทางแก้ไขและการรับมือต่างๆ รวมถึงเป็นตัวกลางในการช่วยวางแผนแนวปฏิบัติของแต่ละกลุ่ม
· การทบทวนการสร้างพื้นที่สีเขียว คือ เพิ่มมาตรการสำหรับการปลูกต้นไม้ในพื้นที่ที่ประสบปัญหาหมอกควัน การมีต้นไม้ในบริเวณที่ฝุ่นควันจะช่วยลดฝุ่นควันในทางอ้อมได้เช่นกัน ดังนั้นหากในแต่ละกลุ่มมีคู่มือที่เป็นแนวทางในการปฏิบัติก่อนเกิดภาวะหมอกควัน จะสามารถเป็นการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้เป็นอย่างดี หากมีปัญหาในปีต่อๆ ไป ก็ที่จะสามารถป้องกันตัวเองได้จากสภาวะหมอกควันได้เป็นอย่างดี
4. การจัดการไฟป่า
1. "การจัดระเบียบการเผา" ไม่ใช่การใช้มาตรการ "สั่งห้ามเผา" ด้วยการกำหนดพื้นที่ เวลา วิธีการ ในการจัดการเชื้อเพลิงและจัดการเผา
หลายหน่วยงานจะต้องลงมาช่วยในการนี้ โดยเฉพาะ
· กรมอุตุนิยมวิทยา ผู้หยั่งรู้ฟ้า-ดิน
· กรมป่าไม้ และ อส. ผู้มีกำลังพลและเครื่องมือ
· กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้ซึ่งกุมขุมกำลังมวลชน
· กรมส่งเสริมการเกษตรผู้ซึ่งพืชเกษตรหลายชนิดถูกร้องเรียนว่ามีส่วนทำให้ไฟไหม้
การจัดระเบียบการเผา มุ่งเน้นให้เกิดการจัดการอย่างเข้มข้น จริงจังดังนั้นจึงต้องการ ข้อมูลสารสนเทศสนับสนุนหลายประการ โดยเฉพาะข้อมูลเกี่ยวกับเชื้อเพลิง สภาพอากาศ ความเสี่ยง (fire risk map) ในพื้นที่ บริเวณที่มีของป่าในพื้นที่ฯ ข้อมูลเหล่านี้ต้องนำมาบูรณาการร่วมกันในการจัดการ
นอกจากนี้ต้องมีการจัดทำ #เกณฑ์และตัวชี้วัด ในการจัดการเชื้อเพลิงและการเผาที่มีมาตรฐานที่จะไม่ทำให้หรือมีผลกระทบน้อยที่สุด
2. การถ่ายโอนอำนาจการควบคุมไฟป่า ให้ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอย่างจริงจัง เป็นรูปธรรม มีตัวชี้วัดชัดเจน มีแรงจูงใจ มีบทลงโทษ ที่ชัดเจนเพราะสาเหตุของการเกิดไฟไหม้ป่ามาจากคนทั้งสิ้น มท. ควรกำหนดภาระกิจให้ อบต. ต้องดูแลปัญหาไฟป่าในพื้นที่จะต้องมาพร้อมด้วยงบประมาณ เครื่องมือ กำลังคน ความรู้ ความสามารถผ่านการฝึกอบรมจากหน่วยงาน อส. กปม. มหาวิทยาลัย
3. เปลี่ยนอาชีพจากเกษตรกรรมพืชเชิงเดี่ยวรายปีสู่การปลูกไม้ยืนต้น และการนำ #ระบบวนเกษตร มาใช้บนพื้นที่ดอยสูง เพื่อลดการเผาเศษวัสดุการเกษตรที่หลงเหลือในแต่ละปี เพราะไม้ยืนต้น ไม้ผล ทั้งในระบบปลูกเชิงเดี่ยวหรือปลูกร่วมในระบบวนเกษตรนั้นผู้ปลูกจะไม่เผาพื้นที่เพราะจะมีผลกระทบต่อต้นไม้ที่ปลูกได้ แต่การเปลี่ยนอาชีพของคนก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่จะทำได้ภายในระเวลาอันสั้นต้องค่อยๆ ใช้เวลาเพื่อการเปลี่ยนผ่าน
4. สนับสนุนการพัฒนานวัตกรรมด้าน logistic ของการขนส่งและบริหารจัดการเชื้อเพลิงบนดอยสูง เพราะการขนส่งเชื้อเพลิง เศษวัสดุการเกษตรบนดอยสูงลงมาด้านล่างมีอุปสรรคอย่างมาก ในขณะที่เทคโนโลยีการแปรรูปเศษวัสดุนั้นมีอยู่แล้ว....หน่วยงานวิจัยและพัฒนาด้านนวัตกรรม เช่น สวทช. มหาวิทยาลัยต่างๆ ต้องร่วมมือกันในการพัฒนาสิ่งนี้ให้เกิดขึ้น
5. กรมป่าไม้ กรมอุทยานแห่งชาติฯ ต้องให้ความสำคัญกับการกำหนดพื้นทีเสี่ยงเพื่อวาง "แนวทางการจัดการเชื้อเพลิง" ในช่วงก่อนฤดูไฟป่า และการดำเนินการ "เผาตามกำหนด" ในพื้นที่เหล่านี้อย่างแน่วแน่และจริงจัง ซึ่งเป็นมาตรการในเชิงรุกสำคัญกว่าการตั้งรับคอยดับไฟ
ลิงก์ผู้สนับสนุน
กระทู้/ข่าว อื่นๆ ที่น่าสนใจ
|
|
|
|
แจ้งลบกระทู้นี้
อ่าน 1027 |
|
แสดงความคิดเห็น |
โดย ตนข่าว
IP: Hide ip
, วันที่ 08 เม.ย. 62
เวลา 13:06:07
|