กด like เพื่อติดตามข่าวสารดีๆ จาก cmprice.com VVVVVV
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
ลิงก์ผู้สนับสนุน
© เนื้อหาข่าว/กระทู้
“จากการเฝ้าระวังของกรมควบคุมโรค สถานการณ์โรคไข้ปวดข้อยุงลายหรือโรคชิคุนกุนยา ในปี 2563 พบผู้ป่วยแล้ว 5,728 ราย จาก 65 จังหวัด ไม่มีผู้เสียชีวิต โดยกลุ่มอายุที่พบมากที่สุด 3 อันดับ คือ 25-34 ปี (ร้อยละ 17.51) 35-44 ปี (ร้อยละ 17.20) และ 45-54 ปี (ร้อยละ15.50) ตามลำดับ ผู้ป่วยส่วนใหญ่ประกอบอาชีพรับจ้างร้อยละ 23.7 นักเรียนร้อยละ 21.3 เกษตรร้อยละ 15.7 ภาคที่มีอัตราป่วยสูงสุด คือ ภาคกลาง รองลงมาคือภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้ ตามลำดับ โดยจากระบบเฝ้าระวังโรค (รง. 506) พบจังหวัดที่มีอัตราป่วยต่อประชากรแสนคนสูงสุด 5 อันดับแรก คือ จันทบุรี รองลงมาคืออุทัยธานี ลำพูน เลย และตราด ตามลำดับ”
“การพยากรณ์โรคและภัยสุขภาพประจำสัปดาห์นี้ คาดว่าช่วงนี้จะมีจำนวนผู้ป่วยโรคไข้ปวดข้อยุงลายเพิ่มขึ้น เนื่องจากพบผู้ป่วยกระจายทั่วทุกภูมิภาคของประเทศไทย ประกอบกับช่วงนี้เป็นฤดูฝน จึงทำให้มีฝนตกชุกต่อเนื่องและครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศไทย ทำให้เกิดน้ำขังตามภาชนะต่างๆ เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายได้ โรคไข้ปวดข้อยุงลายหรือโรคชิคุนกุนยา เป็นโรคติดต่อนำโดยแมลง มียุงลายเป็นพาหะ สามารถพบผู้ป่วยได้ตลอดทั้งปี แต่จะพบมากในฤดูฝน ผู้ที่ติดเชื้อจะมีอาการไข้สูง ปวดข้อ ข้อบวมหรือข้ออักเสบร่วมกับมีอาการปวดศีรษะ ปวดกระบอกตา ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ มีผื่นหรืออ่อนเพลีย ไม่มีการรักษาเฉพาะ ใช้การรักษาตามอาการ และป้องกันภาวะแทรกซ้อน ร่วมกับป้องกันการแพร่กระจายเชื้อไวรัสชิคุนกุนยา คำแนะนำสำหรับประชาชนในการป้องกันโรคที่ดีที่สุด คือ การจัดการสิ่งแวดล้อมภายในบ้านและนอกบ้าน และการกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ลูกน้ำยุงลาย ด้วยมาตรการ 3 เก็บ ป้องกัน 3 โรค คือ เก็บบ้าน เก็บขยะ และเก็บน้ำ เพื่อกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ลูกน้ำยุงลายซึ่งเป็นพาหะของโรคไข้เลือดออก โรคติดเชื้อไวรัสซิกา และโรคไข้ปวดข้อยุงลายหรือโรคชิคุนกุนยา รวมถึงการป้องกันไม่ให้ถูกยุงลายกัดด้วยการทายากันยุง กำจัดยุงในบ้าน และนอนกางมุ้ง กรมควบคุมโรค ขอแนะนำว่า ยุงลายซึ่งเป็นพาหะนำโรคที่สามารถพบได้ทุกจังหวัด สถานพยาบาลทุกแห่งควรมีการเฝ้าระวังโรคไข้ปวดข้อยุงลายในโรงพยาบาล โดยการคัดกรองผู้ป่วยที่มาด้วยอาการ ไข้ ปวดข้อ มีผื่น หรือมีอาการคล้ายไข้เลือดออกแต่เกล็ดเลือดอยู่ในระดับปกติ และเมื่อพบผู้ป่วยควรรายงานผู้สงสัยหรือผู้ป่วยต่อหน่วยงานสาธารณสุขในพื้นที่เพื่อการลงควบคุมโรคอย่างรวดเร็ว หากประชาชนมีข้อสงสัยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมโทรสายด่วนกรมควบคุมโรค 1422”
โรคไข้ปวดข้อยุงลายเกิดได้อย่างไร? ติดต่ออย่างไร?
โรคไข้ปวดข้อยุงลาย เป็นโรคติดต่อ และก่อการระบาดได้เสมอ เป็นโรคมีวงจรติดต่อที่เรียกว่า “คน-ยุง-คน” โดยยุงลายกัด และดูดเลือดคนที่เป็นโรค ในช่วงที่มีเชื้ออยู่ในเลือด คือ ช่วงมีไข้ เมื่อไวรัสเข้าสู่ยุง ไวรัสจะเจริญแบ่งตัวเพิ่มจำนวน และเข้าไปอยู่ในต่อมน้ำลายของยุง เมื่อยุงกัดคน ไวรัสจากยุงจะเข้าสู่กระแสเลือดคน ก่อการติดโรค วนเวียนเป็นวงจรของการติดต่อ และของการระบาด
แต่ในช่วงที่ยังไม่มีการระบาด คาดว่ายุงอาจได้เชื้อจากคน หรือ จากสัตว์ที่เป็นพาหะโรค ต่อจากนั้น จึงเริ่มวงจรระบาดเมื่อยุงที่มีเชื้อกัดคน จนเกิดเป็นวงจร “คน-ยุง-คน”
ยุงลายทั้งสองสายพันธุ์ มักเป็นยุงที่พบได้ทั่วไปทั้งในเมือง และในต่างจังหวัด โดยเฉพาะตามสวน เป็นยุงหากินกลางวัน มีลายขาวดำตามลำตัวและตามขา ชอบวางไข่ในน้ำสะอาด (โดยเฉพาะน้ำฝน) ที่ขังอยู่ในภาชนะต่างๆ เช่น กระถางต้นไม้ อ่างน้ำ โอ่งเก็บน้ำ โดยไข่จะเป็นตัวยุงภายใน 7-10 วัน ยุงพวกนี้ชอบอาศัยในบ้าน ใกล้ๆบ้าน ในโรงเรียน ในสถานที่ที่มีแสงแดดน้อย หรือ มีร่มเงา และมีอากาศเย็น
โรคไข้ปวดข้อยุงลายมีอาการอย่างไร?
อาการของโรคไข้ปวดข้อยุงลาย เป็นอาการเฉียบพลัน เกิดภายหลังได้รับเชื้อไวรัสชิคุนกุนยา (ถูกยุงลายมีเชื้อกัด) ประมาณ 1-12 วัน (ระยะฟักตัวของโรค) ส่วนใหญ่ประมาณ 2-5 วัน โดยมีอาการหลัก คือ
- มีไข้ ไข้สูงทันที (อุณหภูมิมักสูงถึง 40 องศาเซลเซียส) แต่บางคนอาจมีไข้ต่ำได้
- ปวดกล้ามเนื้อ และปวดข้อมาก ทยอยปวดทีละข้อ ซึ่งปวดได้หลายข้อ มักเป็นกับข้อเล็กๆ เกิดทั้งข้อด้านซ้ายและด้านขวา
- มีผื่นแดงคล้ายไข้เลือดออกขึ้นในบริเวณลำตัว แต่บางครั้งอาจพบที่แขน ขา ได้ด้วย
- ปวดศีรษะ ปวดตา ตาแดง ตากลัวแสง (เห้นแสงสว่างแล้วน้ำตาไหล) แต่ไม่มาก และอ่อนเพลีย
โดยทั่วไป จะมีไข้อยู่ประมาณ 2 วัน แล้วไข้ลงทันที แต่อาการอื่นๆจะคงอยู่ต่ออีกประ มาณ 5-7 วัน โดยเฉพาะอาการปวดข้อ ข้ออักเสบ อาจเป็นอยู่นานเป็นเดือน หรือ บางคนเป็นปี หรือ หลายๆปี
แพทย์วินิจฉัยโรคไข้ปวดข้อยุงลายได้อย่างไร?
แพทย์วินิจฉัยโรคไข้ปวดข้อยุงลายได้ จากประวัติอาการ การตรวจร่างกาย แต่ผลที่แน่ชัด คือ การตรวจไวรัสจากเลือด หรือ ตรวจสารภูมิต้านทาน (แอนติบอดี,Antibody) โรคนี้จากเลือด หรือ ตรวจสารพันธุกรรมของเชื้อด้วยเทคนิคที่เรียกว่า พีซีอาร์ (PCR) ซึ่งการตรวจแต่ละชนิดอาจได้ผลภายใน 1-2 วัน ถึง 1-2 สัปดาห์ ส่วนจะเลือกการตรวจวิธีใด ขึ้นกับขีดความสามารถของห้องปฏิบัติการแต่ละโรงพยาบาล และดุลพินิจของแพทย์
รักษาโรคไข้ปวดข้อยุงลายอย่างไร?
ในปัจจุบัน ยังไม่มียาฆ่าไวรัสชนิดนี้ ดังนั้นแนวทางการรักษา จึงเป็นการรักษาประคับประคองตามอาการ คือ ยาลดไข้ ยาแก้ปวด ดื่มน้ำมากๆ และพักผ่อนเต็มที่ และมีรายงานการใช้ยาบางชนิดที่รักษาโรคมาลาเรีย (โรคไข้จับสั่น) อาจช่วยรักษาอาการอักเสบของข้อจากโรคนี้ได้
อนึ่ง แพทย์ไม่แนะนำยาแก้ปวดในกลุ่มเอนเสดส์ (NSAIDs,Non-steroidal anti-inflam matory drugs) เช่น แอสไพรินหรือ ไอบูโปรเฟน (Ibruprofen) เพราะเพิ่มโอกาสเลือดออกตามเนื้อเยื่อและอวัยวะต่างๆ โดยแนะนำยาแก้ปวดพาราเซตามอลแทน (Paracetamol)
โรคไข้ปวดข้อยุงลายรุนแรงไหม? มีผลข้างเคียงไหม?
โดยทั่วไป โรคไข้ปวดข้อยุงลาย เป็นโรครุนแรงน้อยกว่าโรคไข้เลือดออกมาก ในประเทศไทย ยังไม่มีรายงานผู้เสียชีวิตที่เกิดจากโรคนี้ แต่การปวดข้อ และข้ออักเสบส่งผลถึงคุณภาพชีวิต เช่น เป็นอุปสรรคในการทำงาน
อย่างไรก็ตาม ความรุนแรง/การพยากรณ์โรคของอาการจากไข้ปวดข้อยุงลายขึ้นกับอายุ โดยผู้สูงอายุจะมีอาการรุนแรงกว่าวัยอื่นๆ และระยะเวลาในการเจ็บป่วยจากข้ออักเสบ ก็ขึ้นกับอายุเช่นกัน โดยพบว่า ในเด็กและวัยหนุ่มสาว อาการต่างๆมักหายภายใน 5-15 วัน วัยกลางคน อาการมักหายภายใน 1-2.5 เดือน แต่ในผู้สูงอายุ จะมีอาการอยู่นานกว่านี้ เป็นหลายเดือน หรือ เป็นปีๆ
นอกจากนั้น อาจพบผู้ป่วยบางราย (โอกาสเกิดได้น้อย) เกิดโรคสมองอักเสบ ไขสันหลังอักเสบ หรือ เส้นประสาทอักเสบได้
ควรดูแลตนเองอย่างไร? ควรพบแพทย์เมื่อไร?
เมื่อมีไข้สูง ร่วมกับมีผื่นแดงที่ผิวหนัง ควรรีบพบแพทย์เสมอภายใน 1-3 วัน ขึ้นกับความรุนแรงของอาการ เพื่อแยกจากโรคไข้เลือดออก นอกจากนั้น คือ หลีกเลี่ยงใช้ยาแก้ปวดในกลุ่มเอนเสดส์ ดังกล่าวแล้ว
ป้องกันโรคไข้ปวดข้อยุงลายอย่างไร?
ปัจจุบัน ยังไม่มีวัคซีนป้องกันโรคไข้ปวดข้อยุงลาย (แต่กำลังอยู่ในขั้นตอนการศึกษา) ดังนั้น วิธีป้องกันโรคนี้ที่ดีที่สุด คือ การป้องกันยุงกัด และการกำจัดยุง
- การป้องกันยุงกัด เช่น ในถิ่นระบาด ควรสวมเสื้อแขนยาว กางเกงขายาว การทายากันยุง ใช้ยาไล่ยุง ใช้มุ้งกับเด็กๆที่นอนในบ้านถึงแม้เป็นช่วงกลางวัน
- การกำจัดยุง ต้องร่วมมือกันทั้งในครอบครัวและในแหล่งชุมชน และต้องปฏิบัติสม่ำ เสมอตลอดไป โดยเพิ่มความเข้มในช่วงหน้าฝน และหลังฤดูฝน ซึ่งเป็นช่วงยุงวางไข่ ด้วยวิธี การตามคำแนะนำของ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และของกระ ทรวงสาธารณสุข เช่น กำจัด หรือ คว่ำภาชนะทุกชนิดที่ก่อให้เกิดน้ำขัง ทั้งในบ้าน นอกบ้าน และในชุมชน การเปลี่ยนน้ำในแจกันดอกไม้/กระถาง ทุก 7 วันเพื่อกำจัดลูกน้ำ ไม่รดน้ำต้นไม้มากจนก่อให้เกิดน้ำขัง จัดสวน หรือ ปลูกต้นไม้ให้โปร่ง แสงแดดส่องถึง และการกักเก็บน้ำบริโภคต้องปิดฝามิดชิด ป้องกันยุงวางไข่ เป็นต้น
ลิงก์ผู้สนับสนุน
กระทู้/ข่าว อื่นๆ ที่น่าสนใจ
|
|
|
|