• พันธมิตร ยังไม่หยุดอีกหรือ? |
โพสต์โดย พี , วันที่ 23 ก.ย. 52 เวลา 11:56:35 IP: Hide ip |
กด like เพื่อติดตามข่าวสารดีๆ จาก cmprice.com VVVVVV
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
ลิงก์ผู้สนับสนุน
© เนื้อหาข่าว/กระทู้
ผมไม่อยากเขียนถึงเรื่องนี้อีก ถ้าพันะมิตร ไม่ใส่ร้ายคนที่เขาพยายามแก้ปัญหาด้วยเจตนารักชาติเช่นกัน
ผลพวงจากการปฏิบัติการของฝ่ายพันธมิตร เพื่อใช้มวลชนมือเปล่าเข้ายึดพื้นที่คืน จากกัมพูชายังไม่จบ เพราะจากการดูความเคลื่อนไหว ของฝ่ายพันธมิตร ในการนำเสนอผ่าน ASTVนั้น ผมฟังแล้ว มีความเข้าใจว่า พยายามจะเอาดีเข้าตัว เอาชั่วให้คนอื่น
ผมเข้าใจโดยพื้นฐานแห่งสามัญสำนึกรักชาติ เหมือนกับพันธมิตรว่า สิ่งที่ พันธมิตรพยายามที่จะทวงคืน ที่ดิน บริเวณรอบปราสาทพระวิหาร 4.6 ตารางกิโลเมตรนั้น เป็นความปรารถนาดีต่อชาติ
แต่ ที่เราขัดกันคือ วิธีการที่จะได้มา หรืออย่างน้อยต้องพยายามที่จะไม่ให้เสียไปนั้น วิธีคิดเราต่างกัน
ยุทธศาสตร์ของพันธมิตร ที่แท้จริงในการนี้คือ พยายามเอามวลชนเข้าไปให้ถึงพื้นที่ พิพาท 4.6 ตารางกิโลเมตรที่ปัจจุบัน ฝ่ายกัมพูชา ครอบครองอยู่ โดยใช้มวลชนมือเปล่าจริงๆโดยการตรวจอาวุธมวลชนอย่างเข้มข้นก่อนเข้าพื้นที่ ซึ่งพันธมิตร คิดว่า ถ้าประชาชนไปมือเปล่า ปราศจากอาวุธอย่างแท้จริง ทหารกัมพูชา ที่ครอบครองพื้นที่อยู่ จะทำอะไรรุนแรง ฝ่ายกัมพูชา จะเสียความชอบธรรมทันที ด้วยหลักคิดเช่นนี้ พันธมิตร จึงรวมตัวกันมีจำนวนคนเกือบหมื่นคน และถ้า พันธมิตร สามารถเข้าไปถึงพื้นที่ดังกล่าวได้ ก็จะปักหลักอยู่ที่นั่นจนกว่าทหารฝ่ายกัมพูชาและประชาชน กัมพูชา ถอยออกไป ปล่อยให้พื้นที่ว่าง แล้วทั้ง สองประเทศ ค่อยเปิดการเจรจา จึงจะเป็นการแฟร์ ด้วยกันทั้งสองประเทศ หลักคิดของพันธมิตร คือ ประชาชนมือเปล่า บุกเข้าไปทวงสิทธิ์พื้นที่ของประเทศไทย หากทหารกัมพูชา ทำร้ายประชาชน มือเปล่า ข่าวสารไปสู่สำนักข่าวต่างประเทศ กัมพูชา จะเสียความชอบธรรมในทางสากล ทันที และจะเสียเปรียบในเชิงกลยุทธ ไทยจะได้เปรียบและสุดท้ายก็จะได้พื้นที่คืนมา
ถามว่า ยุทธศาสตร์นี้ ฝ่ายรัฐ ทั้ง ฝ่ายความมั่นคง นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีกลาโหม มหาดไทย ผบ.ทบ. แม่ทัพภาค2 และผู้ว่า ศรีสะเกษ รู้ใหม ก็ต้องบอกว่า รู้กันหมดและเข้าใจถึงเจตนา ที่ดี ของพันธมิตร แต่ถ้าถามว่า เห็นด้วยหรือไม่ ตอบว่า ไม่เห็นด้วย
ถ้าเรื่องนี้ มันง่ายอย่างนั้น ฝ่ายรัฐปล่อยให้ทำไปแล้ว ใครๆก็รักชาติ และอยากได้ แผ่นดินคืน ไม่น้อยกว่าฝ่ายพันธมิตร หรอก ตรงนี้ อยากให้ฝ่าย พันธมิตร ทำใจเป็นกลางและนั่งนิ่งๆ ฟังคนอื่นบ้าง
ถ้า พันธมิตร บุกเข้าไปถึง พื้นที่พิพาท ได้จริง และฝ่ายทหารกัมพูชา ไม่กล้าใช้อาวุธเพราะเห็นว่าเป็นประชาชนที่ไม่มีอาวุธและค่อยๆโดนผลักดันออกไป แล้วฝ่ายพันธมิตร เข้าไปอยู่ในพื้นที่ ดังกล่าวได้จริง และปักหลักอยู่ ตามแผนการที่วางไว้
ในพื้นที่ ดังกล่าว ก็จะมี ทั้ง ประชาชน กัมพูชา และพันธมิตร อยู่ที่นั่น ตรงนี้แหละ ที่ฝ่ายบ้านเมืองกลัวเป็นอย่างยิ่ง แน่นอน ฝ่ายพันธมิตร เป็น มวลชนที่มีวินัยสูง การ์ดพันธมิตร ได้รับการฝึกมาเป็นอย่างดี อาจควบคุมกันได้
แต่ประชาชน กัมพูชา ไม่ได้อยู่ในกฏเกณฑ์อันนี้เลย เมื่อ มวลชน2ประเทศ ประจันหน้ากัน แน่นอนการยั่วยุ ย่อมเกิดขึ้น เพราะเห็นกันคนละอย่าง ต่างฝ่ายต่างก็คิดว่า อีกฝ่ายมาแย่งพื้นที่ประเทศของตน โดยพื้นฐานก็เป็นคนละเชื่อชาติ โดยพื้นฐาน ก็เป็นคนละประเทศ เมื่อประจันหน้ากันอย่างนั้น ย่อมหลีกไม่พ้น คำว่า จราจล ขนาด เสื้อเหลืองกับเสื้อแดง เป็นคนไทยด้วยกัน แค่หลักคิดต่างกัน ยังจะเอากันถึงเป็นถึงตาย นับประสาอะไรกับ ต่างชาติกัน และแย่งกันเพื่อเป็นเจ้าของพื้นที่ล่ะครับ และเมื่อเกิดการจราจล ประชาชน 2 ประเทศเข้าต่อสู้กัน ฝ่ายรัฐมองว่า เกินวิสัย ที่จะควบคุมสถานะการณ์ได้ เมื่อถึงตอนนั้น ฝ่ายรัฐจะมีทางเลือกแค่ทางเดียวคือ ใช้กำลังทหาร เข้าปฏิบัติการผลักดัน กัมพูชาออกไป เพราะถ้าไม่ทำจะถูกประนามจากคนไทยส่วนใหญ่ทันทีว่า เห็นคนไทยถูกกัมพูชาฆ่าแล้วยังไม่ทำอะไรเลย
และผลจากการใช้กำลังทหารเข้าช่วยนั้น แน่นอน หลีกเลี่ยงไม่พ้นสงครามระหว่าง สองประเทศ
ถามว่า เรากลัวกัมพูชาหรือ ตอบได้เลยครับว่า ไม่มีใครกลัวหรอก กำลังทหารเราเหนือกว่าในทุกๆด้าน ยุทโปกรณ์ ของเราเหนือกว่า กัมพูชาถึง 16เท่า กัมพูชา ไม่มีเครื่องบินรบแม้แต่ลำเดียว ถ้ารบกันจริงๆแล้ววิเคราะห์กันที่ศักยภาพอาวุธด้านนี้เขาสู้เราไม่ได้แน่นอน
แต่ สิ่งที่ต้องคิดให้หนักถ้าเกิดสงครามคือ เราไม่ใช่มีกันแค่ 2 ประเทศ เรายังมีสังคมโลก ถามจริงๆเถอะว่า ในระดับสังคมโลก การเมือง ระหว่างประเทศ นาย ฮอนัมฮง เป็น รัฐมนตรี ต่างประเทศมายี่สิบกว่าปี สายสัมพันธ์กับประเทศต่างๆแน่นปึก ยิ่งกับ ฝรั่งเศสซึ่งเป็นประเทศถาวรในคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติด้วยแล้ว ยิ่งลึกซึ้งล้ำลึก
แต่ไทย นอกจาก พ.อ. ถนัด คอมันตร์ พล.อ.อ. สิทธิ์ เศวตศิลา เราเคยมี รัฐมนตรี ต่างประเทศฝีมือเจ๋งๆบ้างใหม ไทยนั้น นอกจากเปลี่ยนรัฐบาลกันเป็นว่าเล่น หลังจากรัฐบาลป๋าเปรมเป็นต้นมา จึงทำให้ รัฐมนตรีต่างประเทศเปลี่ยนบ่อยไปด้วย ความสัมพันธ์ในระดับ นานาชาติ จึงเป็นเพียง บทบาทหน้าที่ตามภาระกิจที่มีต่อกัน ซึ่งแตกต่างกันอย่างมากกับ รัฐบาลกัมพูชา ที่เขาครองอำนาจมากว่า 20 ปี ความเจนจัด และความสัมพันธ์ส่วนบุคคล จึงสูงกว่าเราหลายขุม เขียนอย่างนี้ พันธมิตรอย่ามาใส่ร้ายผมว่าไม่รักชาตินะครับ ผมเอาความจริงมาให้เห็นเท่านั้น
การวางยุทธศาสตร์ ต้องวิเคราะห์ให้ได้ทั้งกระบวนการ โดยเอาหลักของ SWOT มาจับ วิเคราะห์ จุดอ่อน จุดแข็ง วิเคราะห์ โอกาส และอุปสรรค ถึงจะลงมือปฏิบัติ
จุดอ่อนของเราอีกประการหนึ่ง คือ เจ้าแผนที่ฝรั่งเศสนี่แหละ อย่างที่เคยบอกไปแล้วว่า โดยหลักสากลนั้น หากเขตแดนประเทศเป็นภูเขานั้น เขาจะยึดหลัก สันปันน้ำ เป็นแนวเขตแดน(สันปันน้ำหมายถึง จุดแบ่งน้ำฝน ที่ตกลงบนเขา เมื่อฝนตกที่ยอดเขา ฝนก็จะไหลลงสู่ที่ต่ำ จุดปลายยอดสามเหลี่ยมนั้นคือ สันปันน้ำ) แต่กรณีชายแดน ไทย กัมพูชานั้น ไทย ยึดแนว สันปันน้ำ แต่ กัมพูชา ยึด ตามแผนที่ที่ฝรั่งเศสทำไว้ตอนที่มายึดกัมพูชาเป็นเมืองขึ้น ซึ่งในตอนนั้นก็เอา เสียมราช และศรีโสภณ ของเราไปให้เป็นดินแดนของกัมพูชาด้วย ซึ่ง ไม่แค่นั้น ยัง ทำแผนที่ขึ้นมา และให้ ปราสาท เขาพระวิหาร รวมทั้ง พื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร นี้ อยู่ในเขตกัมพูชาด้วย
ที่ว่าเป็นจุดอ่อนของเราเพราะ คดีปราสาทเขาพระวิหารนั้น เหตุผลที่ศาลโลกตัดสินให้ กัมพูชาชนะนั้น ศาลบอกว่า ไทยได้รับรู้ถึงการมีอยู่ของแผนที่ฝรั่งเศสฉบับนี้ แต่ก็ไม่ได้ดำเนินการทักท้วงโต้แย้ง คดีที่สู่ศาลโลกคดีนี้ เป็นคดี ทางแพ่ง ที่เรียกร้องเอาทรัพย์กัน ระหว่างสองประเทศ ซึ่งโดยหลักการทางแพ่งนั้น การนิ่งเฉย ถือว่าเป็นการยอมรับ ศาลจึงได้สรุปว่า ไทยได้ยอมรับแผ่นที่ฉบับนี้แล้ว
และถ้าหาก สองประเทสเกิดสงครามกัน กัมพูชา สู้เราไม่ได้ เขาเอาเรื่องพื้นที่ พิพาทนี้ ให้ศาลโลกตัดสินอีก แล้วศาล ยึดหลักการเดิม เรื่องแผนที่ขึ้นมา เราจะไม่เสีย พื้นที่ พิพาท นี้ ไปอย่างถาวรหรือ แน่ใจหรือว่า เราจะชนะคดี
พันธมิตร ที่เป็นนักกฏหมาย อาจเถียงว่า คดีที่เข้าสู่ศาลโลก เรามีสิทธิ์ที่จะไม่เข้าเป็นคู่ความได้ ก็จะถามกลับว่า เราสามารถทนกระแสสังคมโลกได้หรือ เมื่อกัมพูชาฟ้องศาลโลกเขาก็พยายามใช้สังคมโลก กดดันให้เราเข้าเป็นคู่ความแน่นอน หรือว่าเราจะปิดประเทศแบบ เกาหลีเหนือ แบบพม่า ไม่สนใจสังคมโลก ทำได้หรือ เพราะเราต้องค้าขายกับโลก
เพราะฉะนั้น ฝ่ายรัฐ ทั้งฝ่ายความมั่นคง ฝ่ายกลาโหม มหาดไทย และต่างประเทศ จึงลงความเห็นว่า เอาแบบค่อยเป็นค่อยไปดีกว่า อย่างน้อยก็ยังได้สิทธิ์ อ้างสิทธิ์ความชอบธรรมได้อยู่ ไว้รอจังหวะเหมาะสม เช่นเปลี่ยนรัฐบาล กัมพูชา หรืออะไรที่กระเทือนภายในกัมพูชา เราจึงใช้ยุทธศาสตร์เชิงรุก อย่างเต็มที่ แต่ปัจจุบัน รัฐบาลกัมพูชา แข็งโป๊ก สงวนท่าทีไว้ดีกว่า
ซึ่ง นี่คือหลักยุทธพิชัย ทั้งของ ซุนวูและของเหมา เจอตุง ที่นำมาใช้อย่างถูกกาละเทศะอย่างยิ่ง
และนี่คือเหตุผลว่า ทำไม ฝ่ายรัฐจึงต้อง จัดตั้งม็อบ เพื่อมาหยุดพันธมิตรให้ได้ เพราะถ้า ให้เจ้าหน้าที่ของรัฐหยุดคงต้องใช้ความรุนแรงถึงจะหยุดได้ และถ้าเป็นเช่นนั้น รัฐจะเสียความชอบธรรมทันที วิธีการ ที่รัฐทำได้ คือ ให้ประชาชน หยุดประชาชน
ทั้งหมดทั้งสิ้นนี้ อยากบอกพันธมิตรว่า ไม่ใช่ไม่มีใครไม่รักชาติหรอกครับ ทุกคนรักชาติด้วยกันทั้งนั้น แต่พวกเขาไม่เห้นด้วยกับ วิธีการของพันธมิตร และเห็นว่า จะเกิดผลร้ายต่อชาติมากกว่า พวกเขาจึงต้องหยุดพันธมิตรให้ได้
และการที่ พันธมิตร พยายาม ที่จะใส่ร้าย ท่านผู้ว่า ศรีสะเกษ พยายามใส่ร้ายฝ่ายทหาร พยายามใส่ร้าย ฝ่ายตำรวจว่า ที่ออกมาต่อต้าน นั้น เพราะมีผลประโยชน์แอบแฝง ในพื้นที่นั้น ตรงนี้ ผมว่า เป็นการกระทำชั่ว ของพันธมิตร ใส่ร้ายจนเกินจริง ทำให้คนที่มีเจตนาแก้ปัญหาอย่างบริสุทธิ์ใจต้องเสียหาย
ผมไม่ได้เถียงเรื่องการที่จะมีบางส่วนได้รับประโยชน์บ้าง ตรงนี้ ไม่เฉพาะ ที่เขาพระวิหาร ทั้งแม่สาย แม่สอด หนองคาย อุบล ปาดังเบซาร์ พื้นที่ชายแดนเหล่านี้ ก็มีผลประดยชนืแอบแฝงทั้งนั้น และไม่ใช่เพาะประเทศไทยเท่านั้น แม้แต่ อเมริกา แนวชายแดน เม็กซิโก ก็เป็นอย่างนี้
และถึงแม้ว่า เรายึดพื้นที่ตรงนี้มาได้อย่างเบ็ดเสร็จ ผลประโยชน์แบบนี้ก้ยังคงอยู่หากมีการค้าการขายในพื้นที่
เพราะฉะนั้น เรื่องใส่ร้ายท่านผู้ว่า ผู้นำท้องถิ่น ตำรวจ ทหาร ว่า มีผลประโยขน์ จึงออกมาต่อต้าน จึงเป็นคนละเรื่องกัน
หยุดเถอะครับ พันธมิตร อย่าทำอย่างนี้ต่อไปเลย รังแต่จะได้รับความเกลียดชัง จากคนในท้องถิ่นบริเวณนั้นมากขึ้น
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
|
|
|
แจ้งลบกระทู้นี้
อ่าน 1225 |
|
แสดงความคิดเห็น |
โดย พี
IP: Hide ip
, วันที่ 23 ก.ย. 52
เวลา 11:56:35
|