• คดีกล้ายาง แม้จะหลุด แต่ก็ยังเลว |
โพสต์โดย พี , วันที่ 24 ก.ย. 52 เวลา 11:03:54 IP: Hide ip |
กด like เพื่อติดตามข่าวสารดีๆ จาก cmprice.com VVVVVV
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
ลิงก์ผู้สนับสนุน
© เนื้อหาข่าว/กระทู้
ผมขึ้นจั่วหัวแบบนี้ท่านอาจจะรู้สึกว่าแรงไปนะครับ อาจรู้สึกเพียงว่าเป็นแค่การทุจริตกล้าไม้ธรรมดา และวงเงินไม่ได้มากมายแค่พันกว่าล้านบาท
ก่อนจะไปถึงประเด็นที่ว่า แม้ไม่ผิดกฏหมายว่าด้วยการพัสดุ จัดซื้อจัดจ้าง เพราะแก้ทางกฏหมายไว้หมดแล้ว จนศาลไม่สามารถเอาผิดได้ แต่การกระทำ ผมยังสรุปว่าเลว การจัดซื้อจัดจ้างครั้งนี้กล้ายางที่ได้ไปจะให้น้ำยางไม่เต็มที่ ผลสุดท้ายเกษตรกรจะเป็นผู้รับชะตากรรม
มาดูวิธีการได้มาของกล้ายางที่ถูกต้องก่อนนะครับ
ส่วนใหญ่ของยางที่นำมาปลูกในสมัยยี่สิบปีที่ผ่านมาเป็นยางปรับปรุงสายพันธุ์ ชาวบ้านไม่ค่อยนิยมเพราะกล้ายางและต่อตาเองแต่จะนิยมซื้อจากแปลงเพาะที่เชื่อถือและไว้ใจได้มากกว่า
ขั้นตอนการเพาะกล้ายางที่ถูกต้อง คือเริ่มจากการนำเอา"ลูกยางพาราพันธุ์พื้นเมือง” มาเพาะนานหลายเดือนจนได้ขนาดลำต้นที่แข็งแรงสมบูรณ์พอเหมาะ เหตุที่นิยมใช้เม็ดของยางพาราพันธุ์พื้นเมืองเพราะ หากินเก่ง รากเจริญเร็ว เป็นฐานที่ดีสำหรับต้นที่งอกจากตาสายพันธุ์ดี
หลังจากได้ต้นยางที่ขนาดเหมาะแล้วก็จะทำการติดตา ขั้นตอนนี้แหละครับสำคัญสุด ตายางต้องนำมาจากต้นพันธุ์ที่เพราะไว้เป็นพิเศษสำหรับติดตาเท่านั้นซึ่งเป็นยางพันธุ์ดี เพาะไว้เป็นแปลงแยกต่างหาก เมื่อตาต่อติดแล้วก็จะมีการตัดต้นส่วนบนทิ้ง ถอนต้นมาแต่งรากและปักในถุงบรรจุดิน เลี้ยงในโรงเพาะที่มีการให้ร่มบังแดด ให้น้ำปุ๋ยอย่างสม่ำเสมอ จนยางแตกยอดขึ้นเป็นฉัตรแรก จึงเริ่มนำมาขาย เรียกยางพวกนี้ว่า “ยางชั้นเดียว” แต่บางทีก็นิยมเอา"ยางสองชั้น” คือมีการแตกยอดชั้นที่สองขึ้นไปมาปลูก ส่วน"ยางสามชั้น"นิยมเอามาปลูกแทนยางทีตาย ส่วนหนึ่ง หลังจากติดตาติดแล้วอาจจะถอนมาขายเลย เรียกว่า “ยางตาเขียว” ซึ่งราคาถูกกว่ายางชั้นเดียวราว 5-10 บาท อันนี้เฉพาะคนที่งบน้อย แต่การดูแลยากกว่ายางชั้นเดียวและต้องเลือกปลูกให้ถูกช่วงฤดู
เหมือนจะไม่ลึกลับซับซ้อนกว่าการติดตาผลไม้อื่นว่ามั๊ยครับ แต่ปัญหามันอยู่ตรงนี้ครับ ในแต่ละปีผู้ผลิตกล้ายางคะเนได้ว่าในปีนั้นจะมีการปลูกยางแทนยางเก่าประมาณเท่าไหร่ ข้อมูลพวกนี้มักจะมาจากสำนักงานกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง (ต่อไปผมจะเรียกว่า“กองทุนฯ” นะครับ) ดังนั้น ผู้เพาะกล้ายางแต่ละรายสามารถเตรียมยางไว้พอเหมาะสำหรับใช้ในแต่ละปี (แม้ว่าโดยปกติจะมีการเพาะกล้ายางต่อเนื่องทั้งปี)
ทีนี้ มติ ครม. ออกเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2546 เพื่อยกเลิกมติ ครม. ชุดก่อนที่เกี่ยวข้องซึ่งออกเพื่อคุมพื้นที่การปลูกยาง (เพื่อใช้คุมราคายาง) โครงการยาง 90 ล้าน ต้นเริ่ม ณ จุดนี้ ซีพี ซึ่งไม่เคยปลูกยางมาก่อนเลยเป็นผู้ประมูลได้
ซีพี กว้านซื้อยางไปจากผู้ซื้อรายย่อย การซื้อทีละล็อตใหญ่แล้วได้ราคาถูก 12-14 บาท แต่ก็ยังไม่พอกับความต้องการ จึงต้องใช้วิธีการดัวต่อไปนี้
1.การเร่งเพาะทำให้ได้ต้นยางในขั้นตอนแรกที่ผมบอกไว้มีขนาดเล็กและไม่สมบูรณ์พอ หรือเอายางที่ยังไม่ได้ขนาดมาติดตา
2.ตายางจากต้นพันธุ์ที่เพราะไว้เฉพาะมีไม่พอกับความต้องการ ทางออกของผู้เพาะ คือ ไปตัดกิ่งมาจากยางที่ปลูกอยู่ตามสวนต่างๆ มาใช้เป็นตาที่จะติด ถ้าเป็นยางที่เพิ่งปลูกอายุไม่เกิน 1 ปีก็แล้วไป แต่ถ้าเป็นยางที่เกิน 3 ปี เขานับเป็น"ยางตาสอย” ผลคือได้ยางที่ไม่สมบูรณ์และคุณภาพต่ำ
เมื่อเอากล้ายางคุณภาพต่ำไม่สมบูรณ์ผมคงไม่ต้องบอกนะครับว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ข้อมูลเท่าที่เราทราบๆ กันอยู่คือยางที่นำไปปลูกตายเยอะมาก นั่นก็มาจากต้นที่นำมาติดตาไม่สมบูรณ์พอประกอบกับตายางคุณภาพต่ำอีกจึงได้ต้นกล้าคุณภาพต่ำ ไม่แข็งแรง การส่งช้าก็เป็นสาเหตุหนึ่งทำให้การปลูกไปติดช่วงหน้าแล้ง ซึ่งคนใต้น้อยคนนักที่จะปลูกยางช่วงแล้ง
และที่เรียกกันว่า"ยางตาสอย" คือการตัดเอากิ่งยางที่ปลูกในส่วนยาง (ไม่ใช่ที่เพาะไว้เฉพาะ) ที่อายุเกิน 3-4ปีแล้ว กล้ายางจากยางตาสอยนี่ต้องระวังให้มาก เพราะมักมีการลักทำอยู่เนืองๆ แม้จากแปลงเพาะที่ผ่านใบรับรองแล้วก็เถอะ
กล้ายางจากยางตาสอยนั้นถ้าไม่ตายแต่ยังเล็กก็ส่งผลระยะยาวครับ คือ โตช้า ต้นไม่สมบูรณ์และให้น้ำยางไม่ดี ยางที่กรีดได้ที่สมบูรณ์ 1 ไร่ให้ยางแผ่นประมาณ 3-4 แผ่น ต่อวัน (ประมาณ 3-5กิโลกรัม น้ำหนักแห้ง) มีที่ดิน 5-10 ไร่ ถ้าตัดเองก็พออยู่ได้ครับ (หมายเหตุตรงนี้นะครับว่าขึ้นกับสายพันธุ์และวิธีการตัด เช่น ตัดสามวันเว้นหนึ่งวัน หรือสองเว้นหนึ่ง หรือวันเว้นวันแล้วแต่พันธุ์ยาง) แต่ถ้าเป็นยางที่ไม่สมบูรณ์ให้น้ำยางน้อยผมคงไม่ต้องบอกนะครับว่าเกิดอะไร
การทำอย่างนี้เหมือนฆ่าคนทั้งเป็น เอาอาชีพไปให้ หลอกให้กู้เงิน หลอกเลี้ยงยาง 6-7 ปี (ไม่รวมที่ต้องซ่อมอีกไม่รู้เท่าไหร่ ซ่อมยางค่าใช้จ่ายแพงนะครับ แพงกว่าเลี้ยงยางดีตั้งแต่ต้นมาก) กว่าจะกรีดได้ และพอกรีดได้แล้วผลผลิตต่ำ คนที่จนอยู่ก็วนอยู่กับวังวนความจนไม่รู้จบ ไม่พออยู่พอกินแถมยังมีหนี้ให้ต้องแบก
เลือดเย็นแบบนี้ไม่เรียกว่า “บรมชั่ว” ให้เรียกอย่างไร? จะทำโครงการมันไม่ผิดหรอกครับถ้าเตรียมโครงการล่วงหน้าในเวลาที่เป็นไปได้ ยางที่ส่งไปให้เกษตรกรผมเคยเห็นแล้วครับบอกได้คำเดียวว่า สังเวชใจอย่างที่สุด
นี่แหละครับ คือเหตุผลว่า แม้การกระทำ จะไม่ผิดเรื่องการพัศดุ เพราะกฏหมายไม่ทันเล่ห์คนชั่ว ซีพี ซึ่งเป็นบริษัทใหญ่ ร่ำรวย รู้ทั้งรู้ ว่า ในช่วงเวลาอย่างนั้น ไม่สามารถเตรียมกล้ายางตามแบบที่ถูกต้องได้ทัน ก็ยังรับงาน รัฐมนตรี ที่รับผิดชอบ นาย เนวิน ชิดชอบ รู้ทั้งรู้ว่า ช่วงเวลาดังกล่าว ไม่สามารถทำได้ ก็ยังผลักดันให้ทำ แล้วอย่างนี้ จะไม่ใช่ การกระทำที่ชั่ว ที่เลวหรือครับ
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
|
|
|
แจ้งลบกระทู้นี้
อ่าน 1520 |
|
แสดงความคิดเห็น |
โดย พี
IP: Hide ip
, วันที่ 24 ก.ย. 52
เวลา 11:03:54
|