แนะแก้กฎหมาย-จัดระเบียบ ล้อมคอกนอมินีต่างชาติฮุบที่นาไทย
งานวิจัยตีแผ่ผัวฝรั่งเมียไทยเป็นอีก 1 วิธีต่างชาติเข้าฮุบที่นาไทย แนะแก้กฎหมาย-จัดโซนนิ่งควบคุมปัญหา สอดคล้องกับความเห็นนายกสมาคมชาวนาไทยและรักษาการเลขาฯ กองทุนฟื้นฟูฯ เชียร์คลอดกฎหมายใหม่ขจัดนอมินี...
ตั้งแต่ต้นปี 2551 ทั่วโลกตื่นตัวอาหารจะขาดแคลนเนื่องจากสภาพอากาศเปลี่ยนแปลงและแปรปรวนเนื่องจากโลกร้อนขึ้นจนส่งผลต่อพื้นที่เพาะปลูก ทำให้เกิดการกักตุนและกว้านซื้อพืชอาหารทุกชนิดจนราคาในตลาดโลกพุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ก่อนค่อยๆ ปรับตัวลดลง ขณะเดียวกันหลายประเทศได้เริ่มเข้าไปเช่า หรือ ซื้อที่ดินในประเทศต่างๆ เพื่อปลูกพืชอาหารส่งกลับไปยังประเทศของตน
กรณีดังกล่าว สร้างความกังวลให้กับทุกฝ่ายในไทยเนื่องจากก่อนหน้านี้ เคยมีกระแสข่าวว่า ต่างชาติจากตะวันออกกลางสนใจจะเข้ามาเช่าที่นาไทยปลูกข้าว จนกระทั่งเร็วๆ นี้ ชาวนาในหลายจังหวัดได้เรียกร้องให้รัฐบาลเร่งตรวจสอบการซื้อและเช่าที่นาไทยของต่างชาติอย่างจริงจัง เพราะพบสิ่งไม่ปกติ คือ ถูกกว้านซื้อที่นาด้วยราคาสูงเกินจริงและเป็นพื้นที่จำนวนมาก ขณะที่หลายรายถูกบอกเลิกสัญญาให้เช่าที่นากะทันหันและนำที่ไปให้ผู้เช่ารายใหม่ในนามบริษัทต่างๆ
จากนั้น รัฐบาลได้มอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์ประสานงานไปยังกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กระทรวงยุติธรรม เข้ามาตรวจสอบข้อเท็จจริง ซึ่งล่าสุด ดีเอสไอสรุปผลการตรวจสอบว่า ยังไม่พบข้อมูลชี้ชัดว่า ชาวต่างชาติเข้าซื้อ หรือ เช่าที่นาไทยและได้ยุติการตรวจสอบจนกว่าจะมีข้อมูลและพยานหลักฐานที่มีข้อเท็จจริงชัดเจน
พ.ต.ท.ปกรณ์ สุชีวกุล พนักงานสอบสวนคดีพิเศษ 8 กรมสอบสวนคดีพิเศษ ในฐานะหัวหน้าทีมสอบสวนนอมินีต่างชาติถือครองที่นา กล่าวว่า จากการลงตรวจสอบพื้นที่จังหวัดในภาคกลางและภาคเหนือตอนล่าง 10 จังหวัด คือ พระนครศรีอยุธยา สุพรรณบุรี นครนายก ปราจีนบุรี ชัยนาท พิจิตร พิษณุโลก นครปฐม เพชรบุรีและราชบุรี ไม่พบว่า ต่างชาติใช้นอมินีเป็นเจ้าของที่ดินแปลงใด
ส่วนกรณีที่ 4 บริษัทใหญ่ถือครองที่นาใน จ.พระนครศรีอยุธยาจำนวนมากนั้น หัวหน้าทีมสอบสวนนอมินีต่างชาติถือครองที่นา เปิดเผยว่า ตรวจสอบพบคนไทยจดทะเบียนเป็นเจ้าของและมีธุรกิจใหญ่ระดับประเทศ ใช้ปลูกพืชเพื่อเป็นวัตถุดิบผลิตสินค้า เช่น สุราและเบียร์ เป็นต้น สำหรับแนวทางแก้ไขปัญหานั้น ถ้ามีหลักฐานหรือข้อมูลชัดเจนผู้เกี่ยวข้องสามารถร้องขอให้ดีเอสไอตรวจสอบใหม่ได้
อย่างไรก็ตาม งานวิจัยหัวข้อ “โครงการศึกษาสภาพปัญหาการถือครองอสังหาริมทรัพย์ของคนต่างด้าวในประเทศไทย” โดยการสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) เมื่อเดือน ก.ย. 2549 มีคุณสลิตตา โลกัตถกร เป็นหัวหน้าโครงการ กลับได้ผลการวิจัยที่สอดคล้องกับการรับรู้ของคนไทยมานานในกรณีต่างชาติถือครองที่ดินในส่วนที่อยู่อาศัย ที่ดินทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ที่ดินโรงงานอุตสาหกรรมและที่ดินเพื่อการเกษตรกรรม
ในส่วนที่ดินเพื่อโครงการที่อยู่อาศัยขนาดใหญ่ ที่ดินทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และที่ดินโรงงานอุตสาหกรรม งานวิจัยพบว่า ต่างชาติจะใช้วิธีเปิดบริษัทให้คนไทยเป็นนอมินี หรือ ถือหุ้นในสัดส่วนไม่เกิน 49% ตามกฎหมายกำหนด แต่จะมีสัญญาลับบางอย่างเพื่อให้มีอำนาจเหนือผู้ถือหุ้นคนไทย รวมทั้งในรูปการออกหุ้นบุริมสิทธิซึ่งมีสิทธิเหนือกว่าหุ้นสามัญ โดยเฉพาะในกรณีการออกเสียง
นอกจากนั้น งานวิจัยยังตีแผ่กรณีการเข้าครอบครองที่ดินเพื่อการอยู่อาศัยและการเกษตรกรรมของคนต่างด้าวที่ใช้รูปแบบการถือครองผ่านการจดทะเบียนสมรสกับภรรยาคนไทย เพื่อหลีกเลี่ยงกฎหมายและหาผล ประโยชน์ กรณีดังกล่าว เกิดขึ้นกระจายอยู่ทั่วประเทศ แต่พบว่า มีมากที่สุดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยในบางจังหวัดมีความนิยมเขยฝรั่ง หรือ ถึงขั้นมีหมู่บ้านเขยฝรั่ง
งานวิจัยระบุอีกว่า กรณีที่เกิดขึ้นมองผิวเผินอาจไม่มีผลกระทบต่อการสูญเสียโอกาสการใช้ที่ดินของคนไทยเนื่องจากหากภรรยาคนไทยหย่ากับชาวต่างชาติที่ดินก็ยังเป็นของคนไทย แต่ปัจจุบันเริ่มมีการใช้ช่องทางนี้ หาผลประโยชน์ในเชิงธุรกิจมากขึ้นในรูปแบบชาวต่างชาติจะจดสิทธิอาศัย และสิทธิทำกินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เช่น การให้เช่าที่ดิน ที่นา ไร่และสวน เป็นต้น
สำหรับแนวทางการแก้ไขปัญหา งานวิจัยได้นำเสนอแนวทางเอาไว้ทั้งการแก้ไขพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ประกอบธุรกิจคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 เพื่อปิดช่องว่างไม่ให้ใช้วิธีการถือหุ้น หรือ นอมินีแทนได้ การจัดโซนนิ่ง หรือ กำหนดเขตให้ชาวต่างชาติอาศัยและลงทุนชัดเจน รวมทั้งจัดเก็บค่าธรรมเนียมและภาษีเป็นการเฉพาะ ตลอดจนสร้างจิตสำนึกไม่ให้คนไทยถือหุ้นแทนคนต่างชาติ
ด้านนายประสิทธิ์ บุญเฉย นายกสมาคมชาวนาไทย กล่าวว่า ความจริงคนไทยและชาวนาทั่วไปรู้ดีเรื่องต่างชาติเข้าซื้อหรือเช่าที่นาไทย แต่ไม่มีใครกล้าพูด เพราะกลัวผลกระทบและอิทธิพล ดังนั้น มาถึงวันนี้ ไม่ต้องพูดว่า มีต่างชาติเข้าฮุบที่นาไทยหรือไม่ แต่ควรจะเน้นถึงแนวทางการแก้ไขปัญหามากกว่า ล่าสุด ได้ข้อมูลว่า ร่างกฎหมายเกี่ยวกับการป้องกันต่างชาติเข้าซื้อและเช่าที่ดินเพื่อการเกษตรของไทยใกล้ยกร่างเสร็จแล้ว
นายกสมาคมชาวนาไทย กล่าวต่อว่า ในอนาคตนอกจากจะต้องมีกฎหมายเพื่อป้องกันแก้ไขต่างชาติเข้ามาฮุบที่นาและที่ดินไทยแล้ว ขณะเดียวกันจะต้องเริ่มต้นที่ตัวชาวนาไทยเองด้วย โดยจะต้องมีการพัฒนาเพื่อเพิ่มศักยภาพในการผลิต เพราะปัญหาสำคัญอีกเรื่อง คือ ปัจจุบันชาวนาถูกยกเลิกให้เลิกเช่าที่นา เพราะผลผลิตต่ำกว่าผู้เช่ารายใหม่จากต่างชาติหลายเท่าในการใช้พื้นที่เท่ากัน แต่ในส่วนของกฎหมายต่างๆ ก็ต้องเร่งให้มีผลบังคับใช้โดยเร็ว
“การตรวจสอบเอกสารนอมินีต่างชาติถือครองที่นาเป็นเรื่องยาก ดังนั้น ต้องตรวจสอบที่มาของเงินในการซื้อที่ดิน ต้องไปตรวจสอบดูว่า คนหนึ่งมีฐานะจะซื้อได้ไหม ต้องบอกที่มาที่ไปทางการเงินได้ชัดเจน วิธีการนี้ หน่วยงานของภาครัฐก็คิดไม่ถึงเพิ่งเริ่มมีการคุยกัน แต่การตรวจสอบเอกสารสิทธิ์ก็ต้องทำควบคู่กันไปเพื่อให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น” นายประสิทธิ์ กล่าว
นายกสมาคมชาวนาไทย ยกตัวอย่างว่า คนไทย 1 คน จะซื้อที่นา 500 ไร่ หรือ 200 ไร่ ไม่ใช่เรื่องง่าย เป็นไปได้หรือไม่ที่คน 1 คน หรือ บริษัทไทยเล็กๆ 1 บริษัท จะมีเงินหลายร้อยล้านบาท หรือ หลักพันล้านบาทขึ้นไปซื้อที่นาในแถบ จ.ปทุมธานี นครนายก พระนครศรีอยุธยา สุพรรณบุรี อ่างทอง และสิงห์บุรี เรื่องนี้ หน่วยงานรัฐและหน่วยงานอิสระต่างๆ ตรวจสอบเส้นทางการเงินได้ไม่ยาก
นายประสิทธิ์ กล่าวย้ำว่า ในส่วนของกฎหมายจะต้องรับออกมาบังคับใช้โดยจะต้องเน้นสิทธิเรื่องการถือครองที่นา ค่าเช่า รายละเอียดการเช่าและพื้นที่ให้เช่าคล้ายๆ กับการจัดโซนนิ่งและการวางผังเมือง นอกจากนั้น ในส่วนของที่นาว่างเปล่าไม่มีการทำเกษตรกรรมจะต้องเก็บภาษีให้แพงขึ้นเพื่อไม่ให้ว่างเปล่าไม่ถูกใช้ประโยชน์ด้วย อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ ไม่ว่าอย่างไรต้องเริ่มจริงจัง เพราะถ้าไม่จริงจังจะลำบากและถูกต่างชาติกอบโกยทรัพยากรไทยโดยไม่เป็นธรรม
ส่วน รศ.ดร.สังศิต พิริยะรังสรรค์ รักษาการเลขาธิการสำนักงานกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร กล่าว ถึงแนวทางการแก้ไขปัญหาต่างชาติเข้าครอบครองที่ดินไทยและที่นาไทยว่า กระทรวงพาณิชย์ต้องผลักดันกฎหมายการจดทะเบียนหุ้นส่วนบริษัท เพราะการจดทะเบียนจะต้องระบุชัดว่า ใครเป็นผู้เข้ามาลงทุนและใช้เงินเท่าไรเพื่อป้องกันไม่ให้ต่างชาติใช้คนไทยเป็นนอมินีเข้าครอบที่ดินและที่นา
“หากผู้ลงทุนมีความสุจริตและไม่มีเหตุผลอื่นแอบแฝงจะต้องยอมรับกฎหมายนี้ได้ ปัญหาดังกล่าว เกิดจากความผิดพลาดของกระทรวงพาณิชย์ที่หละหลวมไม่รัดกุมในการใช้กฎหมาย ทำให้ปัญหาลุกลามบานปลาย เชื่อว่า เมื่อมีกฎหมายควบคุมอย่างชัดเจนนักลงทุนชาวต่างชาติจะต้องพิจารณาข้อกฎหมายมากยิ่งขึ้นและอาจไม่กล้าเข้ามาลงทุนซื้อที่ดินอีกต่อไป” รักษาการเลขาธิการสำนักงานกองทุนฟื้นฟูฯ กล่าว
อ้างอิงจาก
http://forums.thaieurope.net/index.php?PHPSESSID=8a146c9fc54933176e49db17ad7c1e3c&topic=6373.msg35980#msg35980