ลิงก์ผู้สนับสนุน
© เนื้อหาข่าว/กระทู้
กรณี นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ อ้างภาคีเครือข่ายต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่นแห่งชาติ (ภตช.) พบข้อมูลการไซฟ่อนเงินไทยไปยังเกาะฮ่องกง จำนวน 1.6 หมื่นล้านบาท และถูก ปปง. ของฮ่องกงอายัดเงินไว้ แถมยังอ้างด้วยว่า พ.ต.อ.ดุษฎี อารยวุฒิ อดีตเลขาฯ ป.ป.ท. ก็เคยให้ข่าวว่ามีการไซฟ่อนเงินไปที่เกาะฮ่องกง ซึ่งถือว่าเป็นข้อมูลที่ตรงกับ ภตช. ที่เชื่อว่าเป็นเงินทุจริตเยียวยาน้ำท่วมปี 54
ดังนั้น ทาง ร.ต.อ. (หญิง) สุวรรณี แสวงผล รองเลขาธิการ ปปง. ได้ประสาน ปปง. ฮ่องกงโดยตรง และได้รับการยืนยันว่าไม่พบการโอนเงิน หรือ ว่ามีการอายัดเงิน 1.6 หมื่นล้านบาทตามที่นายองอาจอ้างแต่อย่างใดทั้งสิ้น
จากข่าวเดิม
เลขาธิการ ภตช. ยัน มีไซฟ่อนเงินฮ่องกง จริง เชื่อ "พ.ต.อ.สีหนาท" ไม่กล้ายอมรับ เพราะกลัวถูกเด้ง ขณะที่ "องอาจ" แจง ไม่ได้จ้องล้มรัฐบาล แค่จี้ให้สอบก่อนด่วนสรุป
นายมงคล กิตติ์ สุขสินธารานนท์ เลขาธิการภาคีเครือข่ายต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชันของชาติ (ภตช.) เปิดเผยกับสำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น. ว่า มีข้อมูลเกินกว่าร้อยละ 80 และมีความเป็นจริงค่อนข้างสูง ว่า มีนักการเมืองนำเงิน 1.6 หมื่นล้านบาท ไปไซฟ่อนที่ฮ่องกง โดยย้ำว่า ข้อมูลดังกล่าว มาจากกรรมการร่วมระหว่างไทยและต่างประเทศ ของ ภตช. ซึ่งจะรอประชุมกรรมการระดับสูงในสัปดาห์นี้ ว่า กรรมการร่วมจะมีความเห็นอย่างไร ส่วนการที่ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงบุติธรรม ออกมาปฏิเสธนั้น ทำให้เชื่อว่าหาก พ.ต.อ.สีหนาท ประยูรรัตน์ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ออกมายอมรับเรื่องนี้ ก็จะมีชะตากรรมเหมือนกับ พ.ต.อ.ดุษฎี อารยวุฒิ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม ที่ถูกย้ายจาก เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.)
อย่าง ไรก็ตาม นายมงคลกิตติ์ เปิดเผยว่า ตามที่ได้ยื่นเรื่องให้ กรรมาธิการวุฒิสภา แล้วนั้น ล่าสุด ได้รับการประสานงานจากวุฒิสภาแล้ว ว่าให้เข้าไปให้ข้อมูล
'องอาจ'ปัดจ้องล้มรัฐปมไซฟ่อนเงินฮ่องกง
นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ส.ส.กรุงเทพมหานคร พรรคประชาธิปัตย์ เปิดเผยกับสำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น. ว่า กรณีไซฟ่อนเงินที่ฮ่องกง นั้น พรรคไม่ใช่ผู้ออกมาเปิดเผย แต่เป็นภาคเอกชน ออกมาเปิดเผย แต่สังคมไม่ให้ความสนใจ จากนั้น วุฒิสภาจึงมาตรวจสอบต่อ ซึ่งทางพรรคมองว่า รัฐบาล โดยนายกรัฐมนตรี ควรออกมาตรวจสอบ ตามที่ได้แถลงนโยบายไว้ว่าให้ความสำคัญต่อการปราบปรามการทุจริต โดยไม่ใช่เรื่องของการจ้องล้มรัฐบาล แต่เพราะเห็นว่าเรื่องนี้มีความสำคัญ
อย่าง ไรก็ตาม รัฐบาลควรเชิญภาคเอกชนที่พบการทุจริตนี้ ไปให้ข้อมูล และให้หน่วยงานที่มีอำนาจ เข้ามาตรวจสอบ ก่อนที่จะด่วนสรุปว่าไม่มีเรื่องนี้เกิดขึ้น
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
|