• เร่งคลอด ก.ม.ประชามติ ย้ำต้องไม่มีโนโหวต |
โพสต์โดย กรรมกรข่าว , วันที่ 17 ก.ค. 50 เวลา 23:37:14 IP: Hide ip |
กด like เพื่อติดตามข่าวสารดีๆ จาก cmprice.com VVVVVV
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
ลิงก์ผู้สนับสนุน
© เนื้อหาข่าว/กระทู้
เมื่อเวลา 12.30 น. วันที่ 16 ก.ค. ที่รัฐสภา นายธีรภัทร์ เสรีรังสรรค์ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) แถลงภายหลังการประชุมว่า ที่ประชุมมีการแก้ไขในหลายประเด็น อาทิ การทำโพล ที่ร่างเดิมห้ามทำและนำออกเผยแพร่ก่อนการลงประชามติ 7 วัน ได้ปรับแก้ใหม่เป็นจัดทำโพลได้ แต่ห้ามเปิดเผยก่อนการลงประชามติ 3 วัน โดยมีบทกำหนดโทษผู้ฝ่าฝืนไว้ที่จำคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือปรับไม่เกิน 6,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ จากเดิมกำหนดโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งการลดบทกำหนดโทษเพื่อเสรีภาพในการทำโพล แต่ที่ยังคงเรื่องนี้ไว้เพื่อป้องกันการทำเอ็กซิทโพล ที่อาจเป็นการชี้นำได้ โดยในวันที่ 17 ก.ค. นี้จะเชิญสมาชิก สนช. ที่เสนอแปรญัตติไว้เข้าชี้แจงต่อที่ประชุมแล้วทบทวนทุกมาตรา คาดว่าจะส่งให้ สนช.บรรจุเข้าสู่วาระการประชุมวาระ 2-3 และทุกอย่างน่าจะจบได้ในวันที่ 25 ก.ค.นี้ และคาดว่าน่าจะลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาได้ต้นเดือน ส.ค.นี้ ไม่ผิดรณรงค์ไม่รับร่าง รธน. เมื่อถามว่า การรณรงค์ให้รับไม่รับร่างรัฐธรรมนูญตามเนื้อหาที่มีการปรับแก้ใหม่ กระทำได้หรือไม่ นายธีรภัทร์ตอบว่า หากรณรงค์ในแง่เนื้อหาสาระสามารถกระทำได้ อย่างกรณีของ นปก.หรือกลุ่มมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนก็ไม่น่าจะเข้าข่ายความผิด ซึ่งเนื้อหากฎหมายที่มีการปรับแก้นี้เราคำนึงถึงจุดสมดุลของการใช้สิทธิเสรีภาพ หากไม่ไปก่อความวุ่นวายจนประชาชนไม่สามารถไปลงประชามติได้ก็ถือว่าไม่ผิด กฎหมายฉบับนี้จะเน้นที่การหลอกลวง บังคับ ขู่เข็ญทำให้เกิดการเข้าใจผิดหรือสำคัญผิด เราอยากให้บรรยากาศการออกไปใช้สิทธิเป็นด้านบวกให้คนออกไปใช้สิทธิกันมากๆ และตรงนี้ถือเป็นสิทธิ ไม่ใช่หน้าที่ หากใครไม่ไปก็ไม่ถูกตัดสิทธิ เมื่อถามว่า หากมีการรณรงค์ให้คนไม่ต้องออกไปใช้สิทธิ จะมีความผิดหรือไม่ นายธีรภัทร์ตอบว่า ยังไม่ถือว่ามีความผิด แต่ถ้าเป็นลักษณะขัดขวางตรงนั้นถือว่าผิด อยากฝากถึงประชาชนว่าเจตนารมณ์ของร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ไม่ได้มุ่งให้การออกเสียงประชามติมีปัญหาอุปสรรค แต่มุ่งที่จะป้องปรามผู้ที่จงใจก่อความวุ่นวาย หรือทำให้ เกิดการทุจริต ดังนั้น ประชาชนผู้ออกไปใช้สิทธิไม่ต้องวิตกกังวลมีมติเปลี่ยนชื่อ ก.ม.ใหม่ กันคนเข้าใจผิด เสนอวิธีคิดคะแนนลงประชามติ ด้านนายสมชัย จึงประเสริฐ กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ด้านสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัย กล่าวถึงวิธีคำนวณผู้มาใช้สิทธิออกเสียงลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ ที่กำลังมีการถกเถียงในขณะนี้ว่า จำนวนเสียงที่จะเห็นชอบประชามติ คิดจากฐานจำนวนผู้มาแสดงตนขอใช้สิทธิ หรือจำนวนผู้ออกเสียง ซึ่งในเรื่องนี้ ตนเห็นว่ารัฐธรรมนูญมาตรา 31 ใช้คำว่าประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งโดยเสียงข้างมากของผู้มาออกเสียงประชามติเห็นชอบให้นำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่มาใช้บังคับ ซึ่งน่าจะหมายถึงการนับจำนวนเสียงของผู้ที่มาออกเสียงลงคะแนนในช่องเห็นชอบและไม่เห็นชอบเท่านั้น แต่ไม่ควรนับรวมบัตรเสีย ทั้งนี้ ในการใช้สิทธิลงประชามติ ให้กำหนดลงเพียงแค่เห็นชอบกับไม่เห็นชอบเท่านั้น ต่างกับการเลือกตั้งที่จะมีช่องไม่ประสงค์ลงคะแนน แต่แนวคิดดังกล่าวไม่แน่ใจว่า ส.ส.ร.จะเห็นเช่นนี้หรือไม่ และอยากทราบว่า ส.ส.ร.คิดอย่างไร หากเป็นในแนวทางนี้ เมื่อเสร็จสิ้นการออกเสียงแล้ว รายงานที่ กกต.จะส่งให้ ส.ส.ร.ประกาศ ก็น่าจะแบบเป็นผู้มาใช้สิทธิ จำนวนผู้ออกเสียงที่เห็นด้วย และไม่เห็นด้วย จำนวนบัตรเสีย ดังนั้น จำนวนผู้มาใช้สิทธิออกเสียงประชามติทั้งหมดจะคำนวณจากจำนวนผู้ที่ลงคะแนนในช่องเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยเท่านั้น ย้ำชัดที่ถูกต้องไม่มีโนโหวต “ที่รณรงค์กันอยู่ในขณะนี้ว่า ถ้าไม่รับร่างรัฐธรรมนูญก็ให้โนโหวตนั้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง และสร้างความเข้าใจผิดให้กับประชาชนว่า ถึงวันออกเสียงไม่ต้องออกไปใช้สิทธิก็ได้ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ควรรณรงค์ให้ออกมาใช้สิทธิให้มาก โดยถ้าไม่เห็นด้วยก็ให้ไปกาในช่องไม่เห็นชอบ แต่ถ้าเห็นด้วยก็ไปลงคะแนนในช่องที่เห็นชอบ เพราะกฎหมายจะนับเป็นคะแนนจากการกาใน 2 ช่องนี้เท่านั้น” นายสมชัยกล่าวและว่า จึงอยากให้ผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองที่พูดถึงเรื่องโนโหวต ขอให้สื่อสารทำความเข้าใจกับประชาชนให้ถูกต้องด้วย เพราะในการออกเสียงประชามติไม่มีช่องโนโหวต มีแต่ช่องไม่เห็นชอบ นอกจากนี้จะนำเรื่องสัญลักษณ์กากบาทที่จะอนุโลมที่จะสามารถนับเป็นคะแนนได้บ้าง กกต.รับต้องปรับแผนพีอาร์ใหม่ ส่วนนายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธาน กกต. กล่าวถึงการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนออกมาใช้สิทธิ์ออกเสียงประชามติว่า กกต.จะปรับเปลี่ยนแผนการประชาสัมพันธ์ใหม่ เพราะทราบว่าประชาชนยังไม่รู้วิธีการในการลงประชามติ และที่ผ่านมาการประชาสัมพันธ์ของ กกต.ยังมีข้อบกพร่องอย่างชัดเจน ทำให้ประชาชนสับสน จากนี้ไปจะปรับใหม่ให้ชัดเจน โดยขอความร่วมมือจากทุกฝ่าย เพราะเหลือเวลาอีกแค่ 34 วันเท่านั้น เพื่ออำนวยความสะดวกให้ประชาชนออกมาใช้สิทธิ์ได้มากขึ้น อย่างไรก็ตาม ประธาน กกต.ไม่ห่วงเรื่องการกากบาทในบัตรลงคะแนนประชามติ เพราะเป็นเรื่องที่เราเคยทำมาก่อนแล้ว และการกากบาทบัตรออกเสียงประชามติก็เหมือนกากบาทเลือกผู้แทนฯ ช่องลงคะแนนก็ได้ยึดแบบอย่างจากบัตรลงคะแนนของประเทศที่เจริญแล้ว มี 2 ช่อง คือ เห็นด้วยกับไม่เห็นด้วย เพราะไม่ใช่การเลือกตั้งจึงไม่มีการแข่งขัน แต่เป็นการวัดใจว่าจะเอาหรือไม่เอารัฐธรรมนูญเท่านั้น และนับคะแนนว่าช่องใดมีผู้ใช้สิทธิเลือกมากกว่ากัน “เชื่อว่าจะมีผู้ออกมาใช้สิทธิ์มากพอสมควร เพราะเราได้ขอไปทางรัฐบาลและทาง ครม.ก็ได้มีมติอนุมัติมาแล้วเป็นคำสั่งว่าให้เจ้าหน้าที่ทุกกระทรวง ทบวง กรม ออกมาใช้สิทธิ์ เพื่อเป็นตัวอย่างให้กับประชาชน ส่วนภาคเอกชนเราก็ได้ขอความร่วมมือเช่นเดียวกัน ดังนั้นจึงมีความสงสัยว่า ที่มีการรายงานผลการสอบถามความเห็นประชาชนที่ระบุว่า มี 82% ที่ไม่รู้ว่าจะมีการออกเสียงประชามติกันวันไหนนั้น เป็นการถามคนกลุ่มไหน ถ้าเป็นฝ่ายข้าราชการหรือพนักงานรัฐวิสาหกิจ ต้องทราบกันดีอยู่แล้ว” ลั่นชัดเป็นไปไม่ได้พักงาน 2 กกต. นายอภิชาตกล่าวถึงกรณีกลุ่มผู้คัดค้านร่างรัฐธรรมนูญ อาจจะหยิบยกประเด็นที่ กกต. 2 คน ได้แก่ นายประพันธ์ นัยโกวิท และนางสดศรี สัตยธรรม กกต. ที่ไปร่วมเป็น ส.ส.ร. และคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ มาโจมตีว่า กกต.ไม่เป็นกลางในการจัดการออกเสียงประชามติว่า เรื่องนี้คงต้องมีการหารือกันในที่ประชุม กกต. เพราะที่ผ่านมายังไม่ได้มีการหยิบยกขึ้นมาพูดคุยกัน ในเบื้องต้นขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของ กกต.ทั้ง 2 อย่างไรก็ตาม หากจะให้พักงาน กกต.ทั้ง 2 คน ในการจัดการออกเสียงประชามตินั้น ตนเห็นว่าเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ และลำบากต่อการทำหน้าที่ของ กกต. ทั้งหมด เพราะในการประชุมสั่งของ กกต.นั้นอย่างน้อยองค์คณะในการประชุมต้องมี กกต.ร่วมประชุม 4 คนถึงจะครบองค์ประชุม คมช.เตรียมรณรงค์ชาวบ้านใช้สิทธิ วันเดียวกัน เมื่อเวลา 13.00 น. ที่กองบัญชาการกองทัพบก ได้มีการประชุมคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) โดยมี พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผบ.ทบ.และประธานคมช. เป็นประธานการประชุม โดยมีสมาชิก คมช.เข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง ภายหลังการประชุม พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษก คมช.แถลงว่า ที่ประชุมได้ฟังการบรรยายสรุปจากส่วนข่าวร่วมศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ คมช. ที่มีเนื้อหาเน้นเรื่องความเคลื่อนไหวของกลุ่มพลังต่างๆ ในพื้นที่ กทม. และพื้นที่ทั่วประเทศ โดยเฉพาะเรื่องความคิดเห็นต่อการรับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ โดย คมช. ไม่กังวลว่ารัฐธรรมนูญจะผ่านการลงประชามติหรือไม่ คมช.มีจุดยืนไม่ชี้นำว่าจะให้รับหรือไม่รับ เพียงแต่ คมช.จะรณรงค์ 3 เรื่อง คือ 1. ให้คนได้ทราบว่าวันที่ 19 ส.ค.เป็นวันลงประชามติ เพราะจากการสำรวจพบว่า 82% ยังไม่ค่อยรู้ 2. รณรงค์ในเนื้อหาสาระว่ามีข้อแตกต่างกับรัฐ�ธรรมนูญ 2540 และเกิดประโยชน์กับภาคประชาชนอย่างไร และ 3. การเชิญชวนรณรงค์ให้ประชาชนออกมาใช้สิทธิ์กันเยอะ เพราะเชื่อมั่นว่าหากประชาชนออกมาใช้สิทธิ์เยอะจะเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของเมืองไทยที่ประชาชนแบกรับภาระเรื่องของสังคม การเมือง ร่วมกัน “จรัญ” หวั่นประชาชนไม่รับ รธน. ขณะที่นายจรัญ ภักดีธนากุล ปลัดกระทรวงยุติธรรม ในฐานะรองประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีกลุ่มสมัชชาประชาชนเพื่อการปฏิรูปการเมืองและ 18 องค์กรพันธมิตรเสนอให้รับร่างรัฐธรรมนูญแล้วไปปรับปรุงหลังเลือกตั้งว่าถูกต้องแล้ว เพราะรัฐธรรมนูญที่ทำมาไว้ไม่สามารถทำให้ถูกใจทุกฝ่ายได้ ทำให้การลงประชามติรับรัฐธรรมนูญมีโอกาสที่คนไม่พอใจมีมาก แต่ขอให้มองในภาพรวมว่า ถ้าภาพรวมพอรับได้ ก็ให้ผ่านการรับรองไปก่อน เพื่อกระบวนการกลับคืนสู่ ประชาธิปไตยจะได้ราบรื่นแน่นอนชัดเจน เป็นประโยชน์ ต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ อีกทั้งจุดแข็งของร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้มีหลายจุด ป้องกันกระบวนการในการซื้อสิทธิขายเสียงในการเลือกตั้ง ดังนั้นถ้าประชาชนได้อ่าน ทำความเข้าใจถึงเนื้อหาในร่างรัฐธรรมนูญ และต้องเผยแพร่ให้ประชาชนได้เข้าใจจริง โอกาสที่ใครจะมาบิดเบือนคงยากที่จะสำเร็จ และประชาชนคงรับรองให้ผ่านการลงประชามติแน่ ติงอดีต ส.ส.ถวายตาลปัตรพระสงฆ์ ทางด้านนางจุฬารัตน์ บุณยากร ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) กล่าวถึงกรณีอดีต ส.ส. พรรคการเมืองหนึ่งได้นำตาลปัตรติดข้อความ “ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ 50” ถวายพระที่วัดบุปผาราม อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ว่า ตามปกติแล้วเมื่อมีคนนำสิ่งของมาถวายพระ พระจะไม่สามารถปฏิเสธได้ จึงต้องดูที่จุดประสงค์ของคนที่นำมาถวายว่าต้องการอะไรกันแน่ ขณะเดียวกันก็ต้องอยู่ในดุลยพินิจของพระสงฆ์วัดบุปผารามด้วยว่า จะนำตาลปัตรดังกล่าวไปใช้หรือไม่ เจตนาของผู้ที่นำมาถวายยังไม่ทราบว่าต้องการอะไร แต่เหมือนจะมีเจตนาตามที่ความหมายของตัวอักษรบนตาลปัตรดังกล่าว หากพระนำไปใช้จะทำให้ดูเหมือนว่าพระจะไปยุ่งเกี่ยวกับการเมือง ความจริงแล้วจุดเริ่มไม่ได้มาจากพระ แต่มาจากผู้ที่นำตาลปัตรดังกล่าวไปถวายพระ ซึ่งพระจะปฏิเสธไม่ได้ โดยส่วนตัวแล้วเชื่อว่าพระไม่ต้องการที่ข้องเกี่ยวกับการเมือง แต่อยากรู้จุดประสงค์ที่แท้จริงของคนที่นำไปถวาย เพราะที่ผ่านมาในการทำบุญถวายย่าม ถวายตาลปัตรไม่เคยปรากฏเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน การทำแบบนี้จะเป็นการไปสร้างเงื่อนไขให้กับพระว่าจะต้องนำไปใช้ และจะทำให้พระท่านลำบากใจ ตั้ง “วิเชียร” คุมศูนย์ประชามติ ผู้สื่อข่าวรายงานจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติว่า วันเดียวกัน นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้มีคำสั่งแต่งตั้ง พล.ต.อ. วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ประจำ ตร. ทำหน้าที่รอง ผบ.ตร.ด้านความมั่นคง เป็นอนุกรรมการประสานงานการดำเนินการออกเสียงประชามติ มีหน้าที่สนับสนุนภารกิจของศูนย์อำนวยการออกเสียงประชามติทั่วประเทศ และมีคำสั่งแต่งตั้ง พล.ต.อ.วิเชียรทำหน้าที่ประธานอนุกรรมการรักษาความสงบเรียบร้อยการเลือกตั้ง มีหน้าที่อำนวยการแก้ไขปัญหาในการออกเสียงประชามติ 3 จังหวัดภาคใต้ การรักษาความสงบเรียบร้อยศูนย์อำนวยการออกเสียงประชามติส่วนกลาง ระดับจังหวัด และระดับอำเภอ รวมทั้งการรักษาความสงบเรียบร้อยที่ออกเสียงและลงคะแนน เนื่องจากทาง กกต.หวั่นเกรงสถานการณ์ความรุนแรงในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่จะเข้ามาก่อกวนในการลงประชามติกฎหมายรัฐธรรมนูญใหม่ ที่เสนอร่างผ่านสภาผู้แทนราษฎรของประชาชนในพื้นที่ โดยให้ พล.ต.อ.วิเชียร ประสานแผนการปฏิบัติตำรวจทั่วประเทศ โดยเฉพาะในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ทรท.ประชุมกำหนดแผนคว่ำ รธน. สำหรับความคืบหน้าในการเคลื่อนไหวทางการเมืองของกลุ่มไทยรักไทยนั้น วันเดียวกัน เมื่อเวลา 10.00 น. ที่สำนักงานกลุ่มไทยรักไทย อาคารไอเอฟซีที ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ นายจาตุรนต์ ฉายแสง หัวหน้ากลุ่มไทยรักไทย ได้ประชุมร่วมกับแกนนำกลุ่มประมาณ 7-8 คน โดยมีนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ เข้าร่วมด้วย เพื่อหารือ ถึงแนวทางที่กลุ่มจะกระจายกำลังอดีต ส.ส.และผู้สมัคร ของพรรคไปทั่วประเทศรณรงค์ให้ประชาชนสนับสนุนการตั้งพรรคใหม่ รวมทั้งชี้แจงข้อบกพร่องของรัฐธรรมนูญ ที่เป็นเหตุผลกลุ่มไทยรักไทยไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ โดยจะมีการประชุมใหญ่อดีต ส.ส.และผู้สมัครทั่วประเทศ เพื่อสรุปแนวทางการรณรงค์อีกครั้งในวันที่ 19 ก.ค.นี้ เปิดช่องทำคู่ขนานจัดตั้งพรรคใหม่ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ส่วนความคืบหน้าในการตั้งพรรคใหม่นั้น แกนนำของกลุ่มได้หารือกันหลายครั้งอย่างต่อเนื่อง ได้ข้อสรุปออกมาทั้งสิ้น 3 แนวทาง ประกอบด้วย 1. จดทะเบียนตั้งพรรคใหม่ภายใต้ชื่อพรรคไทยรักไทย 2. จดทะเบียนตั้งพรรคใหม่โดยใช้ชื่ออื่นที่ไม่ใช่ไทยรักไทย และ 3. ใช้ชื่อพรรคเล็กที่มีอยู่ก่อนจัดตั้งเป็นพรรคใหม่ ทุกแนวทางกำลังดำเนินการทำคู่ขนานกันไป โดยแนวทางที่ 1 และ 2 จะดำเนินการทันทีที่โอกาสเปิด ส่วนแนวทางที่ 3 กลุ่มมองว่าทำไม่ยาก โดยใช้ชื่อพรรคเล็กที่มีอยู่ จะเป็นพรรคใดก็ได้ โดยใช้บุคลากรไปดำเนินการเพียงไม่ถึง 10 คน อีกทั้งจะส่งใครไปดำเนินการก็ได้ เตรียมหารือตั้งพรรคการเมืองใหม่ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี แกนนำกลุ่มไทยรักไทย กล่าวถึงการประชุมอดีต ส.ส.ของกลุ่มในวันที่ 19 ก.ค. ว่า ในวันดังกล่าวแกนนำกลุ่มได้นัดหมายอดีต ส.ส.เพื่อมาร่วมหารือถึงประเด็นสำคัญ คือแนวทางการรณรงค์ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญของกลุ่มว่าจะมีทางการเคลื่อนไหวในเชิงรุกอย่างไร ขณะเดียวจะมีการประชุมขอความเห็นจากสมาชิกในการตั้งพรรคการเมืองใหม่ โดยจะให้อดีต ส.ส.แต่ละภาคคัดเลือกบุคคลที่จะขึ้นมาเป็นแกนนำ เพื่อรองรับการจัดตั้งพรรคใหม่ จากนั้นจะหาตัวผู้ที่จะมาเป็นหัวหน้าพรรคต่อไป ส่วนกรณีที่กลุ่มรวมใจไทยเปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กทม.เมื่อวัน 15 ก.ค.นั้น ถือเป็นทางเลือกใหม่ แต่กลุ่มไทยรักไทยที่เคยเป็นพรรคการเมืองที่มี ส.ส.กทม.อยู่หลายพื้นที่นั้น คงจะมีการหารือเพื่อเตรียมความพร้อมในการส่งคนลงสมัครใน กทม.ต่อไป โดยในส่วนของยุทธศาสตร์การเลือกตั้งในพื้นที่ กทม.นั้น ในเบื้องต้นยังคงให้คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ดูแลอยู่ข่าวจากไทยรัฐ
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
|
|
|
แจ้งลบกระทู้นี้
อ่าน 1108 |
|
แสดงความคิดเห็น |
โดย กรรมกรข่าว
IP: Hide ip
, วันที่ 17 ก.ค. 50
เวลา 23:37:14
|