| • พปช.ไม่เชื่อโพลให้รอดูวันเลือกตั้ง |
|
โพสต์โดย กรรมกรข่าว , วันที่ 28 พ.ย. 50 เวลา 09:32:21 IP: Hide ip |
กด like เพื่อติดตามข่าวสารดีๆ
จาก cmprice.com
VVVVVV
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
|
ลิงก์ผู้สนับสนุน
© เนื้อหาข่าว/กระทู้
วันที่ 27 พ.ย. นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี เลขาธิการพรรคพลังประชาชน แถลงว่า ในวันที่ 29 พ.ย.นี้ พรรค พลังประชาชนจะนำเสนอนโยบาย “กู้วิกฤติเศรษฐกิจชาติ เพิ่มรายได้ให้ประชาชนอย่างเร่งด่วน” ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ส่วนผลสำรวจโพลทุกสำนักที่ส่วนใหญ่ระบุว่า พรรคพลังประชาชนจะชนะในการเลือกตั้ง และได้เสียงเป็นอันดับหนึ่งว่า ผลโพลแต่ละสำนักมีความคลาดเคลื่อนแตกต่างกันออกไป แต่ถือเป็นดัชนีชี้วัดความนิยมของประชาชนในระดับหนึ่ง เราทำการวิเคราะห์ ทุกโพล ยังคาดหวังว่าจะได้รับความไว้วางใจจากประชาชนมากพอสมควร ส่วนจะเป็นอันดับหนึ่งหรือไม่ ยังไม่กล้าคาดการณ์ รอให้ประชาชนตัดสินใจวันเลือกตั้ง อย่างไรก็ตาม คิดว่าผลโพลตำรวจสันติบาล ที่ระบุว่า ส.ส.ระบบสัดส่วนบางกลุ่มจะได้ทั้ง 10 ที่นั่งนั้น ไม่น่าจะเป็นไปได้ ทั้งนี้ ทางพรรคได้ทำโพลภายในเหมือนกัน แต่เพิ่งเริ่มดำเนินการ จะเสร็จสิ้นในเดือน ธ.ค. ฉะนั้นที่มีข่าวโพลพรรคออกมาก่อนหน้านี้จึงไม่เป็นความจริง
พร้อมเป็นฝ่ายค้านหากถูกโดดเดี่ยว
เมื่อถามว่า หากคะแนนเสียงของพรรคการเมืองอันดับหนึ่งและสองใกล้เคียงกันมาก จะมีปัญหาในการชิงสิทธิ์จัดตั้งรัฐบาลหรือไม่ นพ.สุรพงษ์ตอบว่า ขณะนี้ไม่เหมาะสมที่จะพูดว่าใครจะจัดตั้งรัฐบาล เราต้องให้เกียรติประชาชนในการตัดสินใจ ส่วนตัวคาดการณ์ ว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ พรรคการเมืองที่ได้รับเสียงอันดับ 1 และอันดับ 2 คงแตกต่างกันมากพอสมควร เท่าที่ได้เรียนรู้ ประวัติศาสตร์การเมือง พรรคการเมืองที่ได้รับเสียงข้างมาก ก็มีความชอบธรรมในการจัดตั้งรัฐบาลก่อน แต่หากไม่ สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ ค่อยเป็นโอกาสของพรรคได้เสียงเป็นอันดับ 2 ที่รวบรวม ส.ส.จากพรรคการเมืองอื่นๆ เมื่อถามว่า หากพรรคพลังประชาชนได้เสียง 230 แต่ถูกโดดเดี่ยว จะทำอย่างไร นพ.สุรพงษ์ตอบว่า หากเป็นอย่างนั้นก็ต้องเป็นฝ่ายค้าน ก็พร้อม แต่ทุกอย่างต้องคุยกันหลังเลือกตั้ง วันนี้ยังไม่มีแผนอะไร หัวหน้าและเลขาธิการพรรคยังไม่ได้คุยกับพรรคการเมืองใดเลย
“เฉลิม” อ้อน 280 เสียงตัดปัญหา
ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ผู้สมัคร ส.ส.ระบบสัดส่วนกลุ่ม 6 พรรคพลังประชาชน กล่าวว่า ที่เคยระบุว่า พรรคพลังประชาชนจะชนะถล่มทลายในสนามเลือกตั้ง กทม. ไม่ได้พูดโดยไม่มีพื้นฐานเหตุผลรองรับ การนำผลงานที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ทำเอาไว้มาต่อยอด ประกอบกับบอกวิธีการหาเงินให้เห็นภาพ ถึงเราจะส่งใครลงสมัครประชาชนก็เลือก และในโอกาสต่อไปจะให้ พ.ต.ท.ทักษิณกลับมาเป็นที่ปรึกษาของพรรค จะให้มาเป็นเมื่อกฎหมายไม่ห้าม และไม่ผิดกฎหมาย วันนี้พรรคอื่นๆหาเสียงแบบแอบแฝง แอบอ้างของเรา แต่เมื่อความจริงปรากฏประชาชนจะตัดสินใจได้ สำหรับโพลสันติบาลที่ออกมานั้น สมัยก่อนทำโดยหน่วยงานสังกัดกระทรวงมหาดไทย หน่วยงานนี้ติดตามสถานการณ์การเมืองอย่างใกล้ชิด เขาก็อยากรู้เหมือนกันว่ารัฐบาลในอนาคตจะมีหน้าตาอย่างไร สมัยนี้ก็คงไม่แตกต่างกัน แต่ผลออกมาอย่างไรไม่รู้ แต่เฉลิมโพล พรรคพลังประชาชนชนะพรรคประชาธิปัตย์ขาดลอย ถ้าไม่อยากให้วุ่นวาย ก็ขอให้ประชาชนเลือกเรา 280 เสียง จะได้ตั้งรัฐบาลอย่างปลอดภัย
ไม่เชื่อจะถูกโดดเดี่ยวชี้มีแต่กากี่นั้ง
ร.ต.อ.เฉลิมกล่าวด้วยว่า กรณีที่พรรคประชาธิปัตย์ ระบุว่าจะจัดตั้งรัฐบาลแข่ง ถ้าได้เสียงก้ำกึ่งแต่เป็นอันดับ 2 นั้น ถ้าแพ้นิดหน่อยจริงก็เชิญเลย ถ้าแพ้มากๆประชาชนคงไม่ยอมแน่ แต่ไม่เชื่อเลยว่าพรรคพลังประชาชนต้องไปเป็นฝ่ายค้าน ที่บอกว่าพรรคพลังประชาชนจะถูกโดดเดี่ยวนั้น อยากถามว่าจะถูกโดดเดี่ยวได้อย่างไร หันไปทางไหนก็คนเก่าคนแก่คนของเราทั้งนั้น ส่วนนายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทยนั้น ส่วนตัวก็ชอบพอกัน มาอยู่กับเราดีกว่าไปอยู่กับพรรคประชาธิปัตย์ ที่หยิบกระดาษแผ่นเดียวมาด่าบรรพบุรุษร่วม 10 ชั่วโมง เมื่อถามถึงกรณีที่เคยระบุว่าจะประกาศวันกลับประเทศไทยของ พ.ต.ท.ทักษิณ บนเวทีสนามหลวง ในวันที่ 21 ธ.ค. ร.ต.อ.เฉลิมตอบว่า ได้โทรศัพท์คุยกับท่าน ท่านต้องกลับมาแน่ วันที่ 21 ธ.ค. จะบอกรายละเอียดว่าจะกลับระหว่างวันไหนถึงวันไหน ส่วนคดีความต่างๆของ พ.ต.ท.ทักษิณนั้น มันคนละเรื่องกับการเมือง คดีต้องจบที่อัยการ ศาล ไม่เกี่ยวว่าใครจะได้ เป็นรัฐบาล ไปพูดกันอยู่ได้อีนุงตุงนัง
โวยตำรวจ-ทหารควงปืนค้นบ้าน
นายสามารถ แก้วมีชัย ผู้สมัคร ส.ส.เชียงราย เขต 1 พรรคพลังประชาชน แถลงว่า เมื่อเวลา 06.00 น. ของวันที่ 27 พ.ย. ได้มีกำลังทหารพร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจ 15 นาย พร้อมอาวุธปืนครบมือ ได้นำหมายศาลไปแสดงเพื่อเข้าปิดล้อมตรวจค้น บ้านพักเลขที่ 376 ม. 9 บ้านทุ่งหลวง ต.แม่ยาว จ.เชียงราย ซึ่งเป็นบ้านพักของนายอุทัย ต๊ะวิโล ผู้ช่วยของตน โดยตามหมายศาลระบุว่านายอุทัยมีอาวุธปืนในครอบครอง และขณะเจ้าหน้าที่ตำรวจทำการตรวจค้นภายในบ้านพัก ทหารจำนวน 10 นาย พร้อมอาวุธปืนได้ กระจายกำลังบริเวณรอบๆบ้าน โดยอ้างว่าเพื่อป้องกันการต่อสู้ สร้างความตกอกตกใจให้กับครอบครัวของนายอุทัย และชาวบ้านในละแวกนั้นอย่างมาก แต่จากการตรวจค้นไม่พบอะไรนอกจากโพยหวยที่ภรรยาของนายอุทัยได้ซื้อไว้ซึ่งมีจำนวนไม่มาก เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงจับกุมตัวส่งดำเนินคดีที่ สภ.แม่ยาว และส่งฟ้องศาลวันเดียวกัน หากนายทหารชั้นผู้ใหญ่ในกองทัพจะปฏิเสธเรื่องนี้ ก็ขอท้าให้ไปตรวจสอบบันทึกประจำวันที่ สภ.แม่ยาว ได้ขอฝากไปยังผู้มีอำนาจรัฐว่าการทำเช่นนี้ไม่เป็นประโยชน์ ประชาชนไม่ได้หวาดกลัวหดหัวให้ท่าน แต่เขาจะต่อสู้ การกระทำของทหารเพียงกลุ่มเดียวจะทำให้ประชาชนเกลียดทหารทั้งกองทัพ ยิ่งทำอย่างนี้วันที่ 23 ธ.ค. ก็จะได้ เห็นกัน เพราะถือเป็นวันที่ประชาชนได้แสดงออกเต็มที่
“อภิสิทธิ์” จี้ กกต.สอบสันติบาลโพล
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ผบ.ตร.ก็ออกมาปฏิเสธแล้วว่าไม่ได้ทำโพลสันติบาล หากทำเท่าที่เคยสอบถามตำรวจ ก็พบว่าเขาจะไปสอบเจ้าหน้าที่ว่าคิดอย่างไร ไม่ใช่หลักวิทยาศาสตร์ ตัวเลขจึงหนีไม่พ้น ส.ส.ปี 2548 เพราะเป็นการประเมิน ส.ส.เก่าว่ามีอยู่เท่าใด อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นโพลจริงหรือไม่ทางพรรคประชาธิปัตย์ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว แต่ขอให้เสนอข้อเท็จจริงด้วยว่าได้ผลลัพธ์มาด้วยวิธีไหน ต้องระมัดระวังด้วยเพราะหากเป็นการปล่อยข่าวโดยที่ไม่ได้มีการสุ่มตัวอย่าง ก็ถือเป็นการเจตนาชี้นำให้เกิดความเข้าใจผิด ซึ่งผิดกฎหมายเลือกตั้ง ต้องถูกดำเนินคดีเหมือนกัน ซึ่งเป็นหน้าที่ของ กกต.ที่ต้องเข้ามาตรวจสอบเรื่องนี้ ต่อข้อถามว่า หนักใจหรือไม่กับโพลดังกล่าว นายอภิสิทธิ์ตอบว่า ไม่หนักใจ เพราะดูที่มาแล้วจึงไม่หนักใจ แต่พรรคประชาธิปัตย์คงต้องทำงานหนักมากขึ้น ต่อข้อถามว่า แต่โพลของพรรคประชาธิปัตย์ผลออกมาว่าพรรคดีขึ้นเรื่อยๆ นายอภิสิทธิ์ตอบว่า เป็นเรื่องภายใน เรามีการวิจัยในส่วนของเรา และมั่นใจแนวทางที่ได้ดำเนินการอยู่ขณะนี้ เพราะประชาชนเอียนเรื่องตอบโต้กันทางการเมือง จึงอยากให้ทุกฝ่ายระมัดระวังการตกเป็นเหยื่อของขบวนการที่ต้องการชี้นำความเห็นของประชาชนด้วย
ตอกหน้า “สมัคร” พวกไร้จริยธรรม
นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกศูนย์อำนวยการเลือกตั้งพรรคประชาธิปัตย์ แถลงว่า ในกรณีที่พรรคพลังประชาชนกล่าวหาพรรคประชาธิปัตย์ว่า ตกต่ำทางจริยธรรม และไม่ ชูประเด็นการต่อสู้เผด็จการในการหาเสียงนั้น ขอชี้แจงว่าพรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยตกต่ำทางด้านจริยธรรม และได้ยืนหยัดต่อสู้กับเผด็จการทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นเผด็จ การทหาร เผด็จการรัฐสภา เผด็จการทุนนิยม และได้ประกาศอยู่เสมอว่าการป้องกันเผด็จการที่ดีที่สุด คือการมีรัฐบาลที่ซื่อสัตย์สุจริตเท่านั้น ในอดีตอาจจะมีสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์บางคน ไปสมคบกับทหารปฏิวัติรัฐบาลของพรรคตนเอง เพื่อเพียงหวังจะเป็น รมว.มหาดไทย และขณะนี้สมาชิกผู้นั้นเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองพรรคหนึ่ง ที่ต่อสู้กับพรรคประชาธิปัตย์ในสนามเลือกตั้งครั้งนี้ ส่วนด้านจริยธรรมและคุณธรรม พรรคประชาธิปัตย์ได้ เข้มงวดกับสมาชิกทุกคน สมาชิกบางคนที่มีคดีติดตัว ถูกศาลชั้นต้นตัดสินจำคุก และคดีอยู่ในระหว่างอุทธรณ์ ยังมีจิตสำนึกไม่ลงสมัครรับเลือกตั้ง ผิดกับบางพรรคที่เอาคนที่ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกมาเป็นหัวหน้าพรรค แถมยังกล้าประกาศตัวจะเป็นนายกฯ ดังนั้น อยากถามหาจริยธรรมและคุณธรรม จากคนที่กล่าวหาพรรคประชาธิปัตย์ด้วย
“ชวน” การันตี “อภิสิทธิ์” ไม่ใช่มะม่วง
วันเดียวกัน นายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ ได้เดินทางไปหาเสียงช่วยนายชาญชัยและนายวิกิจ อิสระเสนารักษ์ ผู้สมัคร ส.ส.นครนายก พรรคประชาธิปัตย์ โดยใช้วิธีการขึ้นรถกระบะติดเครื่องขยายเสียง ปราศรัยในเขตเทศบาลเมืองนครนายก โดยเนื้อหาชี้ให้เห็นความผิดพลาดของรัฐบาลที่ผ่านมา และขอร้องให้ประชาชนอย่าได้เลือกพรรคที่ซื้อเสียงเข้ามามีอำนาจบริหารประเทศ
นายชวนกล่าวถึงท่าทีของนายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทย ว่า ขณะนี้ยังเอาอะไรแน่นอนไม่ได้ ทั้งความคิดคำพูดก็ยังไม่แน่นอน อาจจะตีความยากเพราะไม่รู้ว่าคนพูดตั้งใจอย่างไร ตนเองก็ไม่กล้าตีความ เพราะไม่รู้เจตนารมณ์ที่นายบรรหารพูด ส่วนกรณีที่นายสมัคร สุนทรเวช ระบุว่า นายอภิสิทธิ์เป็นมะม่วงจำบ่มนั้น มะม่วงจำบ่ม หรือบ่มแก๊สคงไม่ใช่เป็นแบบนายอภิสิทธิ์ เพราะนายอภิสิทธิ์ไม่ใช่พวกที่ไม่เคยสัมผัสการเมือง หรือลงการเมืองมานิดหน่อย แต่ทำเป็นผู้รอบรู้ ขนาด พ.ต.ท.ทักษิณตอนเป็นนายกฯ ยังเป็นผู้แทนมาแค่สมัยเดียว แต่นายอภิสิทธิ์เป็น ส.ส.มา 5 สมัยแล้ว ที่นายสมัครบอกว่านายอภิสิทธิ์ยังไม่ถึงขั้นนั้น เป็นความเห็นส่วนตัวของนายสมัคร แต่ไม่ใช่เป็นเหตุผล เพราะคนเป็นหัวหน้าพรรค ไม่ได้อยู่ที่ความอาวุโส แต่อยู่ ที่การได้รับการยอมรับหรือไม่
“บรรหาร” เดินสวนลุมฯช่วยลูกพรรค
เมื่อเวลา 06.00 น. วันเดียวกัน นายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทย พร้อมคุณหญิงแจ่มใส และ น.ส. กัญจนา ศิลปอาชา ร่วมเดินหาเสียงช่วย นพ.มโน เลาหวณิช น.ส.กุสุมามาลย์ ปัจฉิมสวัสดิ์ และนายอรัญ พันธุมจินดา ทีมผู้สมัคร ส.ส.กทม. เขต 1 พรรคชาติไทย ขอคะแนนเสียงจากชมรมผู้ออกกำลังกายภายในสวนลุมพินี โดยนายบรรหาร ได้ร่วมเต้นแอโรบิก รำมวยไท้เก๊กและยกน้ำหนัก ขณะที่ คุณหญิงแจ่มใส และ น.ส.กัญจนาได้ร่วมเต้นลีลาศกับชมรมลีลาศ
นายบรรหารกล่าวว่า เรื่องเก่าๆไม่เอาแล้ว เพราะชี้แจงและเคลียร์ไปหมดแล้ว ส่วนโพลที่ระบุว่า พรรคชาติ ไทยจะได้ ส.ส. 50-70 เสียง ขณะนี้ยังไม่นิ่ง เพราะแค่ เริ่มต้นตัวเลขยังไม่ชัดเจน จะชัดต้องดูต้นเดือน ธ.ค. แต่ ที่แน่ๆพรรคเพื่อแผ่นดินได้ลำดับ 3 แน่นอน โดยพรรค ชาติไทยจะได้น้อยกว่าพรรคเพื่อแผ่นดิน แต่ไม่น้อยกว่า 30 ที่นั่งแน่นอน เมื่อถามว่า โพลที่ออกมาจะเป็นการชี้นำ หรือไม่ นายบรรหารตอบว่า ไม่เป็นไร เพราะจะได้รู้ว่าได้มากหรือน้อย และต้องเร่งหาเสียง แต่ที่ว่าจะได้มากๆก็ไม่ใช่ว่าจะดี เมื่อถามย้ำว่า แสดงว่าพรรคเพื่อแผ่นดินก็ไม่ดี เพราะจะได้ ส.ส.มากเป็นลำดับที่ 3 นายบรรหารตอบว่า “ผมไม่ตอบดีกว่าถามแบบนี้ เดี๋ยวจะเกิดเรื่องอีก แต่หลังเลือกตั้งไปแล้ว ให้ติดตามหัวหน้าพรรคให้ดีๆ เพราะจะเป็นนินจา แต่หัวหน้าพรรคชาติไทยไม่เป็นน่ะยังตามเจอ”
“ชูวิทย์” ทิ้งชาติไทยอ้างหลอกชาวบ้าน
นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ รองหัวหน้าพรรคชาติไทย กล่าวว่า ที่ผ่านมาได้แสดงความเห็นในการบริหารงานใน พรรคแบบรวมศูนย์ แบบหลงจู๊ พอมาวันนี้ต้องออกมาพูด ในฐานะรองหัวหน้าพรรคชาติไทยเป็นครั้งสุดท้าย เพราะได้ตัดสินใจจะลาออกจากพรรคแล้ว แต่ก่อนออกก็ขอพูดถึงการประกาศสลายขั้วของพรรคชาติไทยที่กำลังร้อนๆอยู่ว่า รับไม่ได้กับพฤติกรรมกลับไปกลับมาของหัวหน้า เพราะการอ้างว่า สลายขั้วพร้อมเป็นมิตรกับทุกพรรค เป็น การเล่นการเมืองของนักการเมืองรุ่นเก่า วิธีนี้ใช้ได้ผลเมื่อ 30 ปีก่อน แต่ปัจจุบันใช้ไม่ได้แล้ว เพราะต้องประกาศให้ ชัดเจนว่า นโยบายพรรคจะทำอะไร อยู่ขั้วไหน เพื่อเป็น ทางเลือกให้ชาวบ้าน การพูดว่า หลังเลือกตั้งค่อยมาดูกัน ว่าใครได้ตัวเลขเท่าไหร่ เปรียบเหมือนกับเล่นไฮโลเปิดถ้วยแทง หลอกชาวบ้านให้ลงคะแนนให้ก่อน แล้วค่อยรู้ ทีหลังว่าพรรคไหนจะอยู่ข้างใคร ขอถามแล้วที่ไปกินข้าว ร่วมกันมาตลอด 2 ปี ของ 3 พรรค แสดงว่าเป็นการเล่น จำอวดทางการเมืองเพื่อหลอกชาวบ้านหรือ วันนี้พูดถึงผู้ใหญ่ที่นับถือมา 30 ปี เดี๋ยวจำได้ เดี๋ยวจำไม่ได้แล้ว
ยันเว้นวรรคการเมือง
“จึงได้ตัดสินใจซื้อหน้าโฆษณาในหนังสือพิมพ์ 4 ฉบับ ลงประกาศเจตนารมณ์ขอลาออกจากพรรคชาติไทย โดยระบุว่า เนื่องด้วยมีอุดมการณ์และจุดยืนทางการเมือง ที่แตกต่าง และไม่สามารถเปลี่ยนแปลง เพื่อให้เข้ากับนโยบาย พรรคชาติไทยในขณะนี้ได้ ที่ผ่านมามีความขัดแย้งกับ พรรคชาติไทย ขอบอกว่าไม่ต้องการฝืนใจตัวเอง ทำงาน เพื่อหวังเติบโตทางการเมือง อุดมการณ์ จุดยืนเป็นสิทธิของผม ใครจะบังคับไม่ได้ เสรีภาพทางการเมือง อิสระทางความคิดสามารถแสดงออกได้ ไม่มีใครตีกรอบให้เดิน ผมเป็นตัวของผมเอง นี่คือการเมืองของชูวิทย์ เลือกตั้งครั้งนี้ ขอเว้นวรรคไม่ลงสมัครรับเลือกตั้ง การเมืองไม่ใช่ ธุรกิจ สำหรับผมเป็นภารกิจที่สิ้นสุดได้ การเมืองไม่ประสบความสำเร็จ เพราะว่าเป็นการเมืองที่ซ้ำซาก บรรดานักการเมือง ที่โลดแล่นบนเวที มีวนเวียนกันอยู่แค่ไม่กี่คน หวังประโยชน์ ของพรรคมากกว่าชาติ รู้จักคำว่าแพ้ หรือชนะ แต่ไม่รู้จักคำว่าถูกหรือผิด เรียกร้องคำว่าสมานฉันท์ เมื่อตัวเองได้ ประโยชน์เท่านั้น การเมืองจึงเป็นเรื่องของนักการเมือง ไม่ใช่เรื่องของประชาชน” นายชูวิทย์กล่าวในที่สุด
“สุวิทย์” ชี้ผลโพลทำให้บ้านเมืองสับสน
นายสุวิทย์ คุณกิตติ หัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดิน กล่าวว่า รู้สึกน่าเบื่อที่ต้องพูดเรื่องการเมืองทุกวัน เพราะชาวบ้านไม่ได้อะไร แต่ผลโพลหลายสำนักออกมาทีไร คะแนนนิยมของพรรคเพื่อแผ่นดินก็ดีขึ้นเรื่อยๆ เชื่อว่ามาจากการที่พรรคชูนโยบายที่ต้องการยุติความขัดแย้งทางการเมือง ผู้สื่อข่าวถามย้ำว่า เชื่อผลของโพลที่ออกมาหรือไม่ นายสุวิทย์ตอบว่า ก็ใช้ดูเป็นส่วนประกอบว่าเรามีจุดอ่อนจุดแข็งตรงไหน เพื่อนำมาใช้เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินนโยบายของพรรคต่อไป โพลก็คือการประมาณการคร่าวๆเท่านั้น ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรยังตอบไม่ได้ แต่เห็นว่าโพลก็เป็นประโยชน์ในการนำมาปรับใช้กับพรรคเพื่อแผ่นดินได้เหมือนกัน ต่อข้อถามว่า เกรงว่าพรรคจะเสียเปรียบหรือไม่ เพราะโพลอาจโน้มน้าวใจประชาชนได้ นายสุวิทย์ตอบว่า ขอให้ประชาชนฟังหูไว้หู เชื่อว่าประชาชนคิดเป็น กรณีโพลสันติบาล เจ้าของก็ประกาศออกมาแล้วว่าไม่ได้ทำ ดังนั้น อะไรที่ทำให้บ้านเมืองสับสน ก็ขอให้หยุดกระทำได้แล้ว
“ประชัย” ชี้ปัญหาในพรรคยังมีเรื่อยๆ
เช้าวันเดียวกัน นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ หัวหน้าพรรคมัชฌิมาธิปไตย พร้อมนายพิเชียร อำนาจวรประเสริฐ น.ส.สุภาพร แสงทอง และนายอายุทธ์ จิรชัยประวิทย์ ผู้สมัคร ส.ส.กทม.เขต 2 ลงพื้นที่หาเสียงบริเวณตลาดคลองเตย โดยไม่มีแกนนำผู้สมัคร ส.ส.กทม.คนอื่นๆมาร่วมการหาเสียง ก่อนหน้านี้มีข่าวการกระทบกระทั่งกันระหว่างนายประชัยกับผู้สมัคร ส.ส.กทม. โดยผู้สมัคร ส.ส.กทม.ต้องการให้นายประชัยปราศรัยน้อยลง เนื่องจากส่งผลกระทบกับการหาเสียงของพรรค จนนายประชัยตำหนิ ผู้สมัคร ส.ส.กทม.คนนั้นว่าเป็นคนที่เข้ามาทำลายพรรคมัชฌิมาธิปไตย โดยนายประชัยกล่าวถึงความขัดแย้งกับผู้สมัคร ส.ส.กทม.ว่า ลิ้นกับฟันก็ต้องมีกระทบกระทั่งกันตลอดเวลา เรื่องที่ผู้สมัคร ส.ส.กทม.อยากให้ลดการ ปราศรัยนั้นก็ไม่ได้มีอะไรมาก ผู้สื่อข่าวถามว่า ปัญหาความขัดแย้งภายในพรรคมัชฌิมาธิปไตยมีมานาน ทำไมยังไม่ลงตัว นายประชัยกล่าวว่า มันก็เป็นของมันอย่างนี้ แต่ก็เดินไปได้เรื่อยๆ ไม่เป็นปัญหา
นายประชัยกล่าวถึงกระแสข่าวการรวมขั้วทางการเมืองของพรรคพลังประชาชน ชาติไทย และมัชฌิมาธิปไตย ซึ่งนายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทย ประกาศสลายขั้วเดิมกับพรรคประชาธิปัตย์ แล้วว่า นายบรรหารไม่เกี่ยวกับตน เพราะอยู่คนละพรรค เรื่องอย่างนี้ ยังไม่อยากพูด เพราะเห็นว่าช่วงนี้การหาเสียงสำคัญกว่า
จี้ กกต.เล่นงานคนทำโพลการเมือง
นายประชัยกล่าวถึงโพลสันติบาลที่ระบุว่า พรรคมัชฌิมาธิปไตยจะได้รับการเลือกตั้งเพียง 17 คน และในระบบสัดส่วนกลุ่ม 6 ที่นายประชัยลงสมัครจะไม่ได้รับการเลือกว่า เคยพูดไปแล้วว่าโพลนั้นเป็นเรื่องที่อันตรายสำหรับการเลือกตั้ง เพราะมีส่วนในการชี้นำประชาชน เนื่องจากโพลเป็นการโฆษณา องค์กรที่จะไปทำโพลนั้นจะต้องได้รับเงินสนับสนุน ผลก็จะออกมาเข้าข้างผู้ที่ให้ การสนับสนุน หรือออกมาให้เป็นประโยชน์กับเถ้าแก่ที่เป็นผู้จ่ายเงิน ความเป็นจริงโพลต้องอิสระ แต่การทำโพลต้องใช้เงิน ผู้ที่จะออกไปสำรวจความเห็นประชาชน ต้องได้รับค่าจ้างและเบี้ยเลี้ยง ก็ต้องมีผู้สนับสนุน ไม่ว่าจะเป็นของพวกเอแบคโพล หรือแม้กระทั่งของสันติบาลก็ต้องได้รับเบี้ยเลี้ยง กกต.น่าจะจัดการเรื่องนี้ เพราะเข้าข่าย การโฆษณา คนที่จ่ายเงินให้ทำโพลก็คือเจ้าของโพล จึงเท่ากับว่าคนที่จ่ายเงินเป็นเจ้าของโฆษณา
“ตำรวจออกไปทำโพลก็ต้องได้รับเบี้ยเลี้ยง เราต้องมองให้ลึกว่าใครเป็นคนออกเงินให้ไปทำโพล คนคนนั้นก็คือเจ้าของโฆษณา มันผิดกฎหมาย สำหรับโพลของพรรคมัชฌิมาธิปไตยก็มีอยู่ แต่ทำกันเป็นการภายใน เอาไว้ประเมินของเราเอง เนื่องจากพวกเราเคารพกฎหมายก็ไม่เอาออกมาเปิดเผย แต่บอกได้ว่าแตกต่างกับผลโพลของสันติบาลคนละเรื่องเลย” นายประชัยกล่าว
“เสนาะ” เชื่อสันติบาลโพลมีการเมือง
นายเสนาะ เทียนทอง หัวหน้าพรรคประชาราช ได้เริ่มตระเวนช่วยสมาชิกพรรคหาเสียง โดยได้เดินทางไปที่ จ.ปทุมธานี เป็นจังหวัดแรก ทั้งนี้ตามกำหนดการนายเสนาะจะเดินทางต่อไปยัง จ.อุทัยธานี นครสวรรค์ ชัยภูมิและมหาสารคามตามลำดับ ทั้งนี้นายเสนาะกล่าวว่า สมาชิกพรรคแต่ละคนได้ลงพื้นที่หาเสียงอยู่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี สำหรับผลสำรวจความเห็นของประชาชนโดยเฉพาะสันติบาลโพลรอบ 2 ที่ระบุว่า พรรคประชาราชจะได้ ส.ส.เพียงแค่ 7 ที่นั่ง นั้น เป็นการทำผลสำรวจที่ไม่เป็นไปตามหลักการ และไม่ให้ความยุติธรรมแก่ผู้สมัครในแต่ละพรรค ซึ่งการทำโพลอาจมีนักการเมืองหรือพรรคการเมืองอยู่เบื้องหลังหรือไม่ เพราะดูเหมือนเป็นการจัดทำโพลเพื่อการเอาใจพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง หรืออาจจะมีพรรคการเมืองอยู่เบื้องหลังการทำสำรวจดังกล่าวก็ได้ สำหรับการจับขั้วทางการเมืองในขณะนี้นั้น ไม่เห็นด้วยที่จะมีการจับขั้วการเมือง ก่อนรู้ผลการเลือกตั้งจากประชาชนซึ่งเป็นผู้ตัดสิน ดังนั้นจึงขอเรียกร้องให้ พรรคการเมืองทุกพรรค พิจารณาบทบาทของตนเองในการทำงานเพื่อประเทศ มากกว่าเพียงมุ่งหวังจับขั้วทางการเมือง โดยขอให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินเลือกผู้สมัครของแต่ละพรรคการเมืองก่อนจะดีกว่า
ข่าวจาก ไทยรัฐ
|
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
|
|
|
แจ้งลบกระทู้นี้
อ่าน 1274 |
|
| แสดงความคิดเห็น |
โดย กรรมกรข่าว
IP: Hide ip
, วันที่ 28 พ.ย. 50
เวลา 09:32:21
|
