• ผบ.ทบ. รับกระสุนยิง สนธิ ใช้ในทัพภาค1 จริง |
โพสต์โดย ตนข่าว , วันที่ 23 เม.ย. 52 เวลา 10:27:25 IP: Hide ip |
กด like เพื่อติดตามข่าวสารดีๆ จาก cmprice.com VVVVVV
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
ลิงก์ผู้สนับสนุน
© เนื้อหาข่าว/กระทู้
ชุดสืบสวนตร.ตรวจ3ปลอกกระสุนเอ็ม 16 ยิงถล่มรถ”สนธิ” พบกรมสรรพาวุธ ทบ.ผลิต ตีตรา”RTA” ส่งให้กองทัพภาค 1 ใช้เท่านั้น “อนุพงษ์”ยอมรับของกองทัพภาค1จริง อ้างรั่วไหวจากการฝึก คุ้มครองเข้มพยานปากสำคัญเห็นเหตุการณ์ตลอด เผยถูกคนร้ายยิงใส่
พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) กล่าวถึงความคืบหน้าคดีคนร้ายใช้อาวุธสงครามยิงกล่มนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ว่า ปลอกกระสุนเอ็ม 16 จำนวน 3 นัดที่ใช้ยิงนายสนธินั้น
จากการตรวจสอบร่วมกับเจ้าหน้าที่ ตำรวจยอมรับว่าเป็นกระสุนที่มาจากกองพลทหาร ราบที่ 9 ซึ่งอยู่ในสายงานการบังคับบัญชาของกองทัพภาคที่ 1 แต่เป็นกระสุนที่ใช้ในการฝึกยิงและได้มีการรั่วไหลออกมา ซึ่งเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากลำบากในการตรวจสอบว่าเป็นกระสุนมาจากหน่วยใด
ทั้งนี้ พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า หากมีการตรวจสอบพบว่าเป็นกระสุนจากที่ใด ก็จะต้องมีการดำเนินการสอบสวนผู้รับผิดชอบจากกฎระเบียบของกองทัพต่อไป
ส่วนความคืบหน้าการติดตามหาตัวคนร้ายที่ลงมือยิงนายสนธินั้น ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.) รายงานข่าวจากชุดสืบสวนคลี่คลายคดีคนร้ายยิง นายสนธิ ลิ้มทองกุล แจ้งว่า จากการตรวจสอบ ที่เกิดเหตุได้ตรวจพบปลอกกระสุนปืนเอ็ม 16 ขนาด 5.56 มม.จำนวน 3 ปลอก
ซึ่ง 2ใน 3เป็นกระสุนที่ผลิตโดยกรมสรรพาวุธทหารบกมีการตีตราสัญลักษณ์ (RTA) ซึ่งมาจากว่า ROYAL THAI ARMY และเป็นซีรีส์ที่ส่งให้เฉพาะหน่วยทหารในกองทัพภาคที่ 1ใช้เท่านั้น และที่เกิดเหตุยังพบกระสุนปืนอาก้าหลายสิบปลอก แต่ไม่สามารถตรวจสอบที่มาได้ เนื่องจากกระสุนชนิดนี้ไม่มีประจำการในหน่วยราชการของไทย
รายงานข่าวแจ้งว่า จากการวิเคราะห์แนวทางการสืบสวนเชื่อว่า คนร้ายที่ก่อเหตุใช้ปืนอาก้า เป็นหลักเพราะเป็นอาวุธปืนสงครามที่อำนาจการทะลุทะลวงสูง อีกทั้งไม่มีข้อมูลในสารบบ เนื่องจากเป็นอาวุธปืนจากประเทศรัสเซีย ที่หาซื้อได้ง่ายตามแนวชายแดน การติดตามที่มาของอาวุธทำได้ยาก
แต่กระสุนปืนเอ็ม 16 ที่พบน่ามาจากปืนเอ็ม 203 ซึ่งเป็นปืนเอ็ม 16 ประกอบเครื่องยิงลูกระเบิด เอ็ม79 ไว้ที่ด้านล่างของลำรางปืน ซึ่งคนร้ายน่าจะนำมาใช้เพื่อยิงลูกระเบิดถล่มรถยนต์ของนายสนธิ โดยไม่ได้ตั้งใจจะยิงปืนเอ็ม16 น่าจะเป็นการบังเอิญยิงออกไปเท่านั้นจึงมีปลอกกระสุนในที่เกิดเหตุเพียง 3ปลอก
รายงานข่าวแจ้งด้วยว่านอกจากเด็กปั๊มที่เห็นเหตุการณ์ 2 คนแล้ว ชุดสืบสวนยัง ได้พยานปากสำคัญซึ่งเห็นเหตุการณ์อย่างละเอียด ตั้งแต่คนร้ายเริ่มลงมือจนหลบหนี ซึ่งคนร้ายได้พยายามสังหารพยานโดยการยิงใส่แต่หลบทัน ขณะนี้พยานคนดังกล่าวอยู่ในการคุ้มครองของชุดสืบสวนนครบาลแล้ว
พล.ต.ต.สุพร พันธุ์เสือ รองผบช.น.ในฐานะโฆษก บช.น. กล่าวถึงกรณีนายชนาพัทธ์ ณ นคร หรือเตมูจิน แกนนำเครือข่ายผู้รักประชาธิปไตย เข้าพบพล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผบช.น. เพื่อให้รายละเอียดคดียิงนายสนธิ ว่า มีการเข้าพบ แต่ไม่ทราบรายละเอียด อาจให้ข้อมูลเพิ่มเติม และมีประชาชนแจ้งเบาะแสเป็นระยะๆ ยืนยันว่ากระสุนเอทู ที่พบไม่มีข้าราชการตำรวจใช้
พล.ต.ต.พงษ์สันต์ เจียมอ่อน รอง ผบช.น. กล่าวภายหลัง พล.ต.อุทิศ สุนทร ผบ.มทบ.11 เข้าพบ ว่า มาเพื่อหารือกับผบช.น. ในเรื่องการจัดงานเลี้ยงรุ่นไม่มีเรื่องอะไรมาก ส่วนคดีคนร้ายลอบยิงนายสนธิ มีเพียง ผบช.น.คนเดียวที่ได้รับอนุญาตให้สัมภาษณ์ พร้อมพูดทิ้งท้ายว่า “ติดตามใกล้พอเห็นหลังไวๆ แล้ว”
วันเดียวกัน เวลา 13.00 น. พ.ต.ท.เจริญ ปานคล้าย รองผู้กำกับการ 3 กองพิสูจน์หลักฐาน สำนักงานนิติวิทยาศาสตร์ตำรวจ นำเจ้าหน้าที่ 20 นาย เข้าตรวจจุดเกิดเหตุคนร้ายยิงถล่มนายสนธิอีกครั้งอย่างละเอียด โดยตรวจสอบแนววิถีกระสุน และรอยล้อรถตู้ยี่ห้อโตโยต้า อัลพาร์ด และรอยล้อรถรวมถึงดอกยางรถที่คนร้ายใช้เป็นพาหนะ
ขณะที่เจ้าหน้าที่อีกส่วนหนึ่งตรวจสอบบริเวณชั้น 3 ของอาคารธนาคารแห่งประเทศไทยที่ถูกกระสุนยิงใส่กระจก1 นัด คาดว่าจะเป็นลูกกระสุนที่คนร้ายยิงใส่ตู้ควบคุมสัญญาณกล้องวงจรปิดบริเวณสี่ แยกบางขุนพรหม
แหล่งข่าวชุดสืบสวน เปิดเผยว่าตรวจสอบกล้องวงจรปิดร้านค้าแห่งหนึ่งใกล้จุดที่นายสนธิ ถูกยิงได้จับภาพรถยนต์ของกลุ่มคนร้ายที่ใช้ก่อเหตุได้อย่างชัดเจน เป็นรถยนต์กระบะสีดำ อยู่ระหว่างติดตามและพบว่ามีเพียงประมาณ 1,000 กว่าคัน ส่
วนแผ่นป้ายทะเบียนน่าจะเป็นป้ายอำพราง ชุดสืบสวนสืบยังทราบว่าทางฝ่ายกลุ่มผู้เดือดร้อนแทนผู้เสียหายอยู่ระหว่าง ระดมทีมราว 20-30 คน เพื่อหวังล้างแค้นคืนให้กับนายสนธิ
ขณะที่ นางสุวณา สุวรรณจูฑะ อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม กล่าวถึงการตีพิมพ์รูปพยาน คดีลอบฆ่านายสนธิ ว่า หากมีการนำภาพเผยแพร่เป็นเหตุให้พยานคนดังกล่าวได้รับอันตราย หรือเสียชีวิต ถือว่าเกิดความเสียหายขึ้น พยาน หรือญาติมีสิทธิยื่นฟ้องดำเนินคดีต่อสื่อได้ การเปิดเผยใบหน้าชัดเจนของพยานเป็นเรื่องไม่เหมาะสม ตำรวจต้องเข้าไปดูแล
เพราะถือเป็นการละเมิดสิทธิ จะทำให้พยานนั้นไม่ปลอดภัย ถ้ามีการห้ามกันไว้อยู่แล้ว แต่ยังนำมาเผยแพร่ก็ถือว่าผิด หากการเผยแพร่ภาพพยานส่งผลให้ภายหลังพยานถูกข่มขู่ คุกคาม พยานคนดังกล่าวสามารถยื่นเรื่องให้กรมคุ้มครองฯ เข้าไปดูแลคุ้มครองได้ทันที
ขอบคุณเนื้อหาข่าวจาก มติชนออนไลน์
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
|
|
|
แจ้งลบกระทู้นี้
อ่าน 1401 |
|
แสดงความคิดเห็น |
โดย ตนข่าว
IP: Hide ip
, วันที่ 23 เม.ย. 52
เวลา 10:27:25
|