ลิงก์ผู้สนับสนุน
© เนื้อหาข่าว/กระทู้
โลกใบใหม่ของ น้องธันย์ (ไทยโพสต์)
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก รายการวู้ดดี้เกิดมาคุย
เชื่อว่าหลายคนยังคงจำกันได้ และยังคงเฝ้าติดตามข่าวพร้อมให้กำลังใจ น้องธันย์-ณิชชารีย์ เป็นเอกชนะศักดิ์ สาว น้อยวัย 15 ปี ที่ได้รับอุบัติเหตุพลัดตกลงไปบนรางรถไฟฟ้าที่ประเทศสิงคโปร์ จนต้องสูญเสียขาทั้ง 2 ข้าง ซึ่งไม่ว่าใครก็ตามที่ต้องพบเจอกับเหตุการณ์เช่นนี้ คงจะหมดกำลังใจในชีวิต แต่นั่นไม่ใช่สำหรับน้องธันย์ ที่ยังเธอยังมีรอยยิ้มเสมอและยังสามารถรับมือกับชีวิตใหม่ที่ไม่คาดฝันได้ เป็นอย่างดี เผชิญกับสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยกำลังใจที่เกินร้อย และยิ้มสู้โดยไม่มีน้ำตา จนต้องปรบมือให้
หลังจากประสบอุบัติเหตุ น้องธันย์ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กรมการแพทย์โดยศูนย์สิรินธรฯ ให้ความช่วยเหลือในการใส่ขาเทียมซีเลก (C-leg) ผ่านโครงการขาเทียมของศูนย์สิรินธรฯ รวมทั้งฟื้นฟูสมรรถภาพให้แก่น้องธันย์ โดยการทำกายภาพบำบัดและกิจกรรมบำบัด พร้องกันนี้พระองค์ยังทรงโปรดเกล้าฯ ให้น้องธันย์ได้กลับเข้ามาศึกษาระดับมัธยมศึกษาต่อในไทยที่โรงเรียนจิตรลดา อีกด้วย
มาวันนี้ … น้องธันย์ ยังคงเต็มเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า และคงความสดใสเช่นเคย พร้อมกับขาคู่ใหม่ที่จะทำให้เธอกลับไปเดินเหินได้อีกครั้ง ทุกคนได้ เห็น น้องธันย์เดินด้วยขาเทียม ที่ตัวเธอเองยังเดินไม่คล่องแคล่วมากนัก แต่ก็สามารถเดินได้หลายร้อยเมตรเลยทีเดียว จนทำให้คนรอบข้างที่ติดตามเป็นกำลังใจให้เธอต่างก็ยินดีและมีความสุขไปกับ เธอด้วย
สำหรับขาเทียมนั้น ดูเหมือนว่าจะยังต้องใช้เวลาอีกสักหน่อย แต่เรื่องของกำลังใจอันเปี่ยมล้นของเธอนี่ดูจะเป็นอะไรที่เธอสามารถปลุกมัน ขึ้นมาได้ในทันที ทำให้อดสงสัยไม่ได้ว่าสาวน้อยคนเก่งคนนี้มีทัศนคติอย่างไรกันนะ ถึงได้ยังคงมองโลกในแง่ดีและทิ้งเรื่องไม่ดีจากเหตุการณ์เลวร้ายที่เกิดขึ้น จนกลับไปมีชีวิตที่เปี่ยมสุขได้ดังเดิม และยังส่งต่อความสุขให้แก่คนรอบข้างได้
"ตอน ที่เกิดอุบัติเหตุใหม่ ๆ มีคนมาให้กำลังใจเยอะมาก โดยเฉพาะคนสิงคโปร์ เพราะในรอบหลายปีที่ผ่านมา มีคนตกรางรถไฟฟ้า 20 ราย แล้ธันย์เป็นคนเดียวที่รอดชีวิต หลังจากธันย์ ก็มีตกอีกแต่ไม่รอดชีวิต ก็เลยมีคนเข้ามาให้กำลังใจเราเยอะมาก จนมีการตั้งเป็นแฟนคลับขึ้นมาที่สิงคโปร์ ตอนนี้อาการก็ดีขึ้นมากแล้ว อยู่ระหว่างการฝึกใช้ขาเทียม ที่ได้รับพระราชทานมาจากสมเด็จพระเทพฯ ซึ่งเป็นขาเทียมไฮเทคมากที่สุดในประเทศไทย ควบคุมและตั้งโปรแกรมความจำได้ ทุกวันนี้เวลาไปโรงเรียนก็จะใส่เดินไปเรียนด้วย ก็ใช้ชีวิตปกติค่ะ ถ้ามองย้อนกลับไปก็ยังคิดว่าอยากให้เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น เพราะมันเป็นเหมือนบทพิสูจน์ บททดสอบตัวเรา ชีวิตธันย์ได้มีโอกาสใช้ขาได้ตั้ง 2 ขา ทุกอย่างธันย์จะมองเป็นบวกหมด คิดในทางที่ดีไว้ ส่วนอนาคตอยากจะเป็นหมอ เป็นจิตแพทย์ค่ะ จะได้ช่วยเหลือคนและสังคมด้วย"
น้องธันย์ ยังได้กล่าวว่า แม้จะเป็นระยะเวลากว่า 2 เดือนที่ได้ใส่ฝึกเดิน แต่ก็ยังคงรู้สึกแปลก ๆ ถึงอย่างไรก็รู้สึกดีที่สามารถกลับมาเดินได้อีกครั้ง ซึ่งช่วงนี้ก็อยู่ในช่วงของการฝึกเดินแบบปล่อยมือ และการเดินในพื้นที่จริงที่อาจมีพื้นผิวที่ขรุขระ เพื่อให้เดินได้คล่องขึ้น ให้สมดุลยิ่งขึ้น หลังจากสามารถใช้กล้ามเนื้อในการพยุงตัวได้คุ้นชินมากขึ้น ต่างจากในช่วงแรกที่ใส่ขาเทียมแล้วรู้สึกเจ็บจากการเสียดสี โดยขณะนี้ก็ได้กลับมาพักรักษาตัวที่บ้านเมื่อสัปดาห์ก่อน แต่ก็ยังคงได้ไปทำกายภาพบำบัดที่ศูนย์สิริธรฯ ต่อ แต่จะเป็นการฝึกในช่วงวันเสาร์-อาทิตย์เท่านั้น เพราะในวันปกติต้องเรียนจนถึงเย็น
ใน ด้านชีวิตการเรียน หลังจากได้เข้ามาเรียนโรงเรียนแห่งใหม่นั้น ความรู้สึกที่มีคือ ทุกสิ่งทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม แทบไม่ได้มีอะไรแตกต่างไปจากเดิมเลย เพียงแต่ผิดกันที่โรงเรียนใหม่ในระดับ ม.ต้น ยังไม่มีการแบ่งเป็นการเรียนสายวิทย์-คณิตหรือสายสังคม แต่จะเป็นการเรียนรวมที่เน้นไปทางสายสังคม ต่างจากที่เก่าที่ได้เรียนเน้นไปยังสายวิทย์-คณิตได้โดยตรงตั้งแต่ระดับ ม.ต้น โดยเมื่อขึ้นในระดับ ม.ปลายแล้วคงเลือกที่จะกลับไปเรียนในสายวิทย์-คณิตของโรงเรียนแห่งนี้ เพื่อสานฝันในอาชีพจิตแพทย์ตามที่ฝันไว้ นอกจากนี้ ในเรื่องของสังคม เพื่อนในโรงเรียนใหม่นี้ บอกได้เลยว่าน่ารักมาก คอยช่วยเหลืออยู่ตลอด ไม่ว่าจะเป็นการเข้ามาช่วยเหลือในการเดิน หยิบของ หยิบน้ำให้กิน ไปจนถึงมาพูดคุยด้วยอยู่เสมอ
สำหรับจุดมุ่งหวังสูงสุดในชีวิต น้องธันย์บอกว่า ไม่ต้องการอะไรอื่นเลย ยกเว้นการได้เป็นหมอ เพราะถ้าได้เป็นหมอแล้วจะถือได้ว่าเป็นหมอคนแรกของตระกูล จึงอยากจะเป็นให้ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการเป็นจิตแพทย์ เนื่องจากมองว่าจิตแพทย์เป็นหมอที่ไม่เพียงแต่รักษาคนไข้เท่านั้น แต่จิตแพทย์ยังทำหน้าที่เป็นคนที่เข้าใจ ให้กำลังใจผู้ป่วยได้เป็นอย่างดี ซึ่งตั้งเป้าไว้แล้วว่าต่อจากนี้จะตั้งใจอ่านหนังสือ เล่าเรียน จนสามารถเข้าเรียนในคณะนี้ได้อย่างสมใจ โดยตั้งเป้าไว้แล้ว จะต้องเป็น 1 ใน 3 แห่งนี้ให้ได้ นั่นคือจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หรือ มหาวิทยาลัยมหิดล
"หนูไม่เคยโทษชะตากรรมตัวเองในอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น แต่หนูกลับคิดว่าการที่เราได้รับอุบัติเหตุในครั้งนั้นยังมีเรื่องดีอยู่ใน นั้น คือ ทำให้หนูเข้าใจความรู้สึกในมุมของผู้ป่วย รวมทั้งทำให้เราเองเหมือนได้ลัดมาเรียนรู้ในงานที่เราอยากจะทำได้ก่อนใคร อย่างการทำงาน คุณหมอพันธ์ศักดิ์ที่ดูแลหนูเองก็เอาใจใส่ดูแลหนูและคนไข้คนอื่นๆ เป็นอย่างดี คอยที่จะไม่ทำให้เราซีเรียสด้วย จนตอนนี้คุณหมอกลายไปเป็นไอดอลของหนูไปแล้ว ทำให้เมื่อตอนที่อยู่ศูนย์สิรินธรฯ ว่างทีไรก็จะคอยเดินไปเยี่ยม พบปะพูดคุย แลกเปลี่ยนความคิดกับผู้ป่วยคนอื่นๆ เพื่อเป็นการส่งมอบกำลังใจให้แก่กันและกัน"
สาวน้อยหัวใจแกร่งยังได้เล่าให้เราฟังถึงตัวตนและสิ่งที่ทำให้เราเป็นคนที่ มองโลกในแง่ดีด้วยว่า ส่วนตัวแล้วเป็นคนที่มีนิสัยน่าเริง มีเวลาว่าก็จะชอบอ่านหนังสือ ไปทำบุญที่วัด หรือไม่ก็จะไปเที่ยวห้างสรรพสินค้า ช็อปปิ้ง ร้องเพลง ร้องคาราโอเกะ เรียกได้ว่าการใช้ชีวิตแทบไม่ต่างไปจากเดิมเลย
ส่วนในเรื่องของกำลังใจอันเต็มเปี่ยมนั้น ก็มาจากสภาพแวดล้อมที่ดีและบุคคลที่รายล้อมรอบตัวของเขา ไม่ว่าเหล่าคุณหมอ นักกายภาพบำบัดที่ทำหน้าที่ดูแลจนเป็นเหมือนครอบครัวใหญ่ ในตลอดระยะเวลาที่พักฟื้นอยู่ที่ศูนย์สิรินธรฯ และที่ขาดไม่ได้เลยคือครอบครัวของตัวเขาเอง
"คุณพ่อมักบอกเสมอว่าให้ก้าวต่อไป เรายังทำอะไรดีๆ ให้แก่บ้านเมืองได้อีกเยอะ อุบัติเหตุที่ผ่านมาเป็นเพียงแค่บททดสอบในชีวิตเราเท่านั้น เพราะถ้าเราคิดดี ทำทุกอย่างให้ดี ให้เต็มที่ คนรอบข้างก็จะดีกับเรา และพาเราไปสู่วันที่ดีกว่าได้อย่างแนนอน"
ไม่เพียงแต่ได้พูดคุยน้องธันย์ ยังได้มีโอกาสคุยกับบุคคลที่ปลูกฝังแนวความคิดที่ดีให้แก่น้องธันย์ นั่นคือ กิตติ์ธเนศ เป็นเอกชนะศักดิ์ คุณพ่อของน้องธันย์ ซึ่งเล่าว่า น้อง ธันย์เป็นเด็กที่มองโลกในแง่ดี มีกำลังใจเกินร้อย และพยายามที่จะคอยหมั่นช่วยเหลือตัวเองตลอด โดยไม่คอยและไม่หวังจะให้คนอื่นมาช่วยเหลือแต่เพียงฝ่ายเดียว แต่จะพยายามช่วยเหลือเดินด้วยขาตัวเองให้ถึงที่สุดเสียก่อน ไม่เพียงเท่านี้ น้องธันย์ยังเป็นคนที่มองโลกในแง่ดีและช่วยเหลือผู้อื่นอยู่เสมอ อย่างการไปเยี่ยมเยียนพูดคุยกับผู้ป่วยคนอื่นๆ หรือเร็วๆ นี้น้องธันย์ก็จะไปร่วมงานกับมูลนิธิ รพ.พระมงกุฎฯ เพื่อร้องเพลงและให้กำลังใจกับเหล่ารั้วของชาติที่ถูกระเบิดขาขาดที่ รพ.พระมงกุฎฯ ด้วย ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทำให้โดยรวมแล้ว ความเป็นน้องธันย์ทั้งหมด ตัวตน วิธีคิด หรือสิ่งที่เขาเป็นนั้น ไม่ได้เปลี่ยนไปเลยสักนิดหลังจากเกิดอุบัติเหตุขึ้น
"ที่ผ่านมาก็ได้พยายามสอนเขาเสมอว่า ให้มองโลกในแง่ดี ที่เกิดขึ้นกับเราก็เพียงแค่อุบัติเหตุ แม้ร่างกายของเราไม่ครบ อาจสูญเสียขาทั้ง 2 ข้างไป แต่อย่างน้อยเรายังมีสติ สมองเรายังสามารถใช้คิดและทำอะไรได้อีกหลายอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการพยายามคิดดี ทำดี ถ้าเป็นเช่นนี้ได้ก็จะไม่มีเส้นแบ่งระหว่างความปกติกับความพิการ หรือความไม่เท่าเทียมเลย" คุณพ่อน้องธันย์กล่าว เมื่อถูกถามถึงคำสอนที่ทำให้หนูน้อยคนเก่งเป็นคนที่มองโลกในแง่ดี
คุณพ่อน้องธันย์ยังได้เปิดเผยถึงเรื่องคดีความในการขอความเป็นธรรมให้กับน้องธันย์ด้วยว่า ก่อนหน้า นี้ได้ยื่นขอชดเชยค่าเสียหายจากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับทางบริษัทรถไฟฟ้า SMRT ของทางประเทศสิงคโปร์ มูลค่า 3.4 ล้านเหรียญสิงคโปร์ โดยเงินจำนวนนี้เป็นเงินที่ทนายช่วยกำหนดขึ้นจากจำนวนค่ารักษา ค่าเปลี่ยนขาเทียม และค่าใช้จ่ายที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต ซึ่งทางฝ่ายนั้นก็ได้ตอบปฏิเสธกลับมา อีกทั้งยังได้ฟ้องเรียกค่าเสียหายกลับอีก 3.4 ล้านเหรียญสหรัฐ ด้วยข้อหาว่าทางเราทำผิดกฎเกณฑ์เอง เนื่องจากระบบรักษาความปลอดภัยเขาดีที่สุดในโลกอยู่แล้ว ทำให้ไม่แปลกใจเลยสักนิดที่ถูกฟ้องกลับเช่นนี้ เพราะทางฝ่ายนั้นก็ไม่ได้ดูแลรักษาพยาบาลให้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 19 กันยายนนี้ ก็จะมีการจำลองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนชั้นศาลเพื่อสืบหาความจริงต่อไป
"หลังจากเหตุการณ์ในครั้งนั้น ด้วยความต้องการที่จะเป็นทุกอย่างให้กับลูก ทำให้ผมต้องทิ้งธุรกิจทั้งหมดไปเพื่อมาดูแลน้องธันย์ ในการไปรับ ไปส่ง และการใช้ชีวิตประจำวัน เหลือเพียงแต่กิจการค้าขายของแม่น้องธันย์เท่านั้น ซึ่งถ้าไม่ได้รับความเป็นธรรมในการชดเชยค่าใช้จ่ายที่จำเป็นในส่วนนี้ ผมก็ไม่รู้จะไปหาเงินจากไหน เพราะกว่าน้องธันย์อายุ 80 ปี ก็ต้องเปลี่ยนขาเทียมอีก 12 ครั้ง รวมเป็นเงิน 60 ล้านบาท แต่ถึงอย่างไรผมและน้องธันย์ก็ยังมองโลกในแง่ดีและพยายามด้วยกันต่อไป" พ่อน้องธันย์ กล่าว
ประเด็นเกี่ยวกับการเรียกร้องความเป็นธรรมและการกลับมาใช้ชีวิตในสังคมด้วยขาทั้ง 2 ข้างของน้องธันย์คงต้องเอาใจช่วยกันต่อไป แต่สิ่งหนึ่งที่เราได้เห็น ได้เรียนรู้จากน้องธันย์ คือ พลังใจในการมองโลกในแง่ดีและยิ้มสู้เสมอ ไม่ว่าจะเจอเรื่องร้ายแรงหรือยากลำบากในชีวิตสักเพียงใด รวมถึงการส่งต่อกำลังใจและจิตอาสาในการเป็นผู้ให้ โดยไม่ได้หวังแค่เพียงเป็นผู้รับอย่างเดียว
เรื่องราวของน้องธันย์ ยังไม่จบเพียงแค่นี้ สามารถติดตามชมรายการวู้ดดี้เกิดมาคุย วันอาทิตย์ที่ 18 กันยายน 2554 เวลา 22.30 น. ทางโมเดิร์นไนน์ทีวี
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
, รายการวู้ดดี้เกิดมาคุย
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
|