ทั้งนี้กลุ่มตัวอย่างยังเห็นว่า
การแต่งกายนิสิต นักศึกษาจะก่อให้เกิดผลเสียหรือปัญหาอาชญากรรม อาทิ การล่วงละเมิดทางเพศ การข่มขืนมากถึง ร้อยละ 59.9 รองลงมาเสื่อเสียชื่อเสียงสถาบันและตนเอง ร้อยละ 17.8 และก่อให้เกิดปัญหาจี้ ปล้น วิ่งราวทรัพย์ ร้อยละ 5.4 และเห็นด้วยที่ ศธ. และวธ. จะผลักดันให้การแก้ปัญหาการแต่งกายของนิสิต นักศึกษาเป็นวาระแห่งชาติร้อยละ 68.5
โดยให้เหตุผลว่า
เป็นเรื่องเร่งด่วนที่ต้องรีบแก้ไขก่อนที่ปัญหาจะรุนแรงกว่านี้ เป็นการลดปัญหาอาชญากรรม ปัญหาสังคม นักศึกษาจะได้แต่งกายเรียบร้อยขึ้นและเพื่อเป็นการรักษาวัฒนธรรมอันดีงาม ส่วนร้อยละ 31.5 ไม่เห็นด้วย เพราะไม่ใช่ปัญหาใหญ่ระดับวาระแห่งชาติ เป็นการจำกัดสิทธิส่วนบุคคล เป็นความพอใจส่วนบุคคลและอาจเป็นการยิ่งห้ามยิ่งยุ โดยในจำนวนนี้ร้อยละ 15.1 เห็นว่าควรให้นิสิต นักศึกษาหรือองค์กรนิสิต นักศึกษาเป็นหลักในการแก้ปัญหาเอง ส่วนอยากให้ทุกฝ่ายควรร่วมมือกันแก้ปัญหามีเพียงร้อยละ 4 เท่านั้น
“ส่วนมาตรการที่จะนำมาใช้แก้ปัญหาเรื่องนี้ให้เห็นเป็นรูปธรรม นิสิต นักศึกษาร้อยละ 47.5 เห็นว่าควรใช้กฎระเบียบของสถาบันการศึกษามาเป็นตัวบังคับอย่างจริงจัง ร้อยละ 30.2 ใช้การรณรงค์หรือชักจูงใจให้นิสิต นักศึกษา หันมาแต่งกายให้เหมาะสม ร้อยละ 15.7 ใช้มาตรการทางกฎหมายในการบังคับให้ผู้ผลิต เลิกผลิตเสื้อนักศึกษาที่ฟิต โป๊ หรือมีขนาดเล็กจนเกินไป
นอกจากนี้นิสิต นักศึกษาร้อยละ 57.2 ไม่เห็นด้วย
ที่สถาบันการศึกษาจะอนุญาตให้นักศึกษาแต่งชุดธรรมดาที่สุภาพ (Private) แทนการใส่ชุดนักศึกษา และไม่เชื่อว่าแนวทางดังกล่าวจะช่วยแก้ปัญหาได้ โดยร้อยละ 60 เชื่อว่าปัญหาเรื่องการแต่งกายไม่เหมาะสมจะยังคงมีอยู่ ร้อยละ 22.3 เชื่อว่าปัญหาเรื่องการแต่งกายไม่เหมาะสมจะหมดไป และร้อยละ 17.7 ไม่แสดงความคิดเห็น วธ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะนำความคิดเห็นดังกล่าวไปเป็นแนวทางในการแก้ปัญหาการแต่งกายชุดนักศึกษาที่ไม่เหมาะสมต่อไป”รมว.วธ. กล่าว
|