ผลงานอันย่ำแย่ของนักฟุตบอลทีมชาติไทย ในศึกชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียน หรือ “เอเอฟเอฟ ซูซูกิคัพ 2010”ที่อินโดนีเซียที่ไม่สามารถคว้าชัยชนะได้แม้แต่นัดเดียว ทำได้แค่เสมอลาว 2-2 เสมอมาเลเซีย 0-0 และแพ้อินโดนีเซีย 1-2 ร่วงตกรอบแรก ทั้งถูกยกให้เป็นเต็งแชมป์ สร้างความเจ็บช้ำให้แฟนบอลชาวไทยอีกครั้ง

 ทว่าความผิดหวังครั้งนี้อาจเป็นฟางเส้นสุดท้ายถึงขีดความอดทนของคอลูกหนังที่การทำหน้าที่ของ “บังยี” นายวรวีร์ มะกูดี นายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย และ“ร็อบโบ้” ไบรอัน ร็อบสัน กุนซือชาวอังกฤษของทีมชาติไทย โดยเฉพาะโลกโซเชียลมีเดีย แฟนบอลต่างออกมาแสดงความคิดเห็นกันอย่างกว้างขวาง ส่วนใหญ่ใช้ถ้อยคำดุเดือด เผ็ดร้อน ผ่านทางเฟรซบุ๊กส์ พันทิป รวมถึงไทยแลนด์สู้สู้ดอทคอม มุ่งโจมตีบังยีและไล่พ้นจากเก้าอี้นายกสมาคม

 หลังจบเกมไทยพ่ายอิเหนา 1-2 ช่วงดึกวันที่ 7 ธันวาคม แฟนบอลกลุ่มหนึ่งในเฟซบุ๊ก เปิดเพจ "มั่นใจว่าคนไทยเกิน 1 ล้านคน ไม่เอาสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยชุดนี้" มีผู้เข้ามาลิงก์ประมาณ 1.5 หมื่นราย โพสต์ข้อความว่า"ทั้งโค้ชและสมาคมล่ะ กอดคอกันรับผิดชอบซะไม่ต้องมาถาม โค้ชจ้างเอง เคยถามพวกเรามั้ย", "ใครอยากได้ วิทยา เลาหกุล เป็นนายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย", "สมาคมชุดนี้น่าจะไปบริหารฟุตบอลอนุบาลมากกว่านะครับ..."

 "ทั้งหมดทั้งมวลผมว่าคือระบบครับ ภาษาอังกฤษเรียกว่า system 1.การเพิ่มทีมในลีกเป็น 18 ทีม เหมาะสมมั้ย อาจจะเหมาะ แต่ไม่ใช่ในระยะเวลาอันสั้น 2.การจัดโปรแกรมทีมชาติล่วงหน้าเป็นปี ทำกันได้มั้ย วางเลย ว่าปีนี้มีทัวร์นาเมนต์อะไรบ้าง จะอุ่นเครื่องนัดไหนบ้าง 3.ระบบลีกเยาวชน เอาให้ชัดเจน อันนี้เข้าใจว่าเพิ่งเริ่มทำ ไม่ว่ากัน 4.ระบบเส้นสาย 5.แนวทางการทำทีมในลีกให้สอดคล้องกับระบบของทีมชาติ"

 ทั้งนี้ แฟนบอลนัดชุดนุมที่อาคารมาลีนนท์วันเสาร์ที่ 11 ธันวาคม เวลา 09.00 น. เพื่อขอเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงในสมาคมฟุตบอลฯ ผ่านรายการข่าวของนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา และวันที่ 19 ธันวาคม เวลา 10.30 น.ที่สมาคมฟุตบอลฯภายในสนามศุภชลาศัย เพื่อแสดงออกถึงการไม่พอใจการทำงานสมาคมฟุตบอลฯ โดยแฟนบอลกลุ่มต่างๆ ตกปากรับคำแล้ว และจะใส่เสื้อทีมฟุตบอลสโมสรต่างๆ ไปแสดงพลัง

 ขณะเดียวกัน กลุ่มหนุนบังยีและสมาคมฟุตบอลฯ ได้ปรากฏตัวบนเฟซบุ๊ก เพจ "มั่นใจว่าคนไทยเกิน 10 ล้านคน สนับสนุนสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย" ตั้งขึ้นมาสู้ โดยโพสต์ข้อความว่า"ไม่มีความเกี่ยวข้องกับสมาคมฟุตบอลไทยแต่อย่างใด เป็นเพียงแฟนบอลที่พร้อมจะยืนหยัดอยู่ข้างความถูกต้อง" "มีจุดประสงค์เพื่อทำความเข้าใจกับแฟนบอลชาวไทยว่า บอลแพ้สมาคมไม่ใช่แพะ" "เห็นได้แล้วจากเกมนัดนี้ เล่นดีมาตลอด แต่เปลี่ยนตัวผิดจนทำให้แพ้...แล้วใครควรรับผิดชอบครับ ? สมาคมอีกใช่มั้ย"

 "อย่ายอมแพ้ครับท่าน จงสู้ต่อไป ยังมีคนไทยกว่า 10 ล้านคน เป็นกำลังใจให้ท่านอยู่ครับ ท่านจำไว้นะครับ...ปลายทางสวยงาม...เสมอ", "ดาวรุ่งอย่างเทิดศักดิ์ รังสรร และดัสกร จะได้ประสบการณ์จากตกรอบครั้งนี้ และเป็นกำลังหลักในการเล่นฟุตบอลโลกในปี 2014 ซึ่งพิสูจน์แล้วว่า ดาวรุ่งอย่างเทิดศักดิ์สามารถยืนระยะได้ครบ 30 นาทีอย่างไม่มีปัญหา" แต่อีกฝ่ายเข้าโพสต์ตอบว่า "เทิดศักด์ ไม่น่าจะเป็นดาวรุ่ง เพราะอายุ 37 ปี แล้ว ส่วนดัสกร ปาเข้าไปถึง 28 ปีแล้ว"

 จากนั้นฝ่ายหนุนโพสต์คลิปเสียงของบังยี เนื้อหาประกาศขออยู่พาบอลไทยไปบอลโลก "ขอบคุณท่านวรวีร์ที่ไม่ทอดทิ้งแฟนบอล ! การตกรอบเนื่องจากปัญหาการเมืองที่มีการชุมนุมต่อเนื่องหลายเดือนทำให้หลายสนามงดแข่งขัน การแข่งขันครั้งนี้ไม่ได้รับความเป็นธรรมกับกรรมการ และสภาพอากาศไม่เป็นใจ พร้อมประกาศเป้าหมายพาบอลไทยไปบอลโลกปี 2514"

 ขณะเดียวกัน เว็บไซต์โอเคเนชั่น บล็อกเกอร์ต่างๆ เขียนข้อความวิพากษ์วิจารณ์ผลงานนักฟุตบอลทีมชาติไทย และการบริหารงานของสมาคมฟุตบอลฯ อย่างรุนแรงไม่แพ้กัน บล็อกเกอร์ "kate" เขียนเรื่องถึงเวลาหยุดทำลายสถิติ อัปยศ ของฟุตบอลไทยหรือยัง ว่า นี่คือผลงานของสมาคมฟุตบอลฯ ในรอบ 2 ปีที่ผ่านมา และแฟนบอลไทยคิดว่า ถึงเวลาที่จะหยุดได้แล้ว สิ่งที่ทีมชาติไทย คือ การจ้างโค้ชพาร์ตไทม์ การแข่งขันภายในประเทศอาจกระทบต่อโปรแกรมของทีมชาติ ไม่จัดหาการอุ่นเครื่องที่เหมาะสมในวันปฏิทินฟีฟ่า ทำให้มีผลต่ออันดับคะแนนของทีมชาติ และการจัดลำดับความสำคัญอย่างไม่เหมาะสม

 บล็อกเกอร์ "เกรียงไกร-หัวบุญศาล" เขียนเรื่องฟุตบอลไทยชิงที่ 5 ดีไหม สำหรับชิงแชมป์อาเซียนสมัยนี้ ว่า "ทุกชาติในอาเซียนพัฒนาขึ้นมาก แต่ไทยกลับไม่พัฒนาขึ้นเลย ถึงแม้ว่าจะเล่นดีหรือไม่ก็ตาม ยิ่งแปลกใจที่นายกสมาคม คุณวรวีร์ เป็นถึงหนึ่งในคณะกรรมการฟีฟ่าที่ทั่วโลกเกรงใจ มีศักยภาพ แต่ผลงานแย่ยิ่งกว่ายุคที่คุณวิจิตร เกตุแก้ว เป็นนายกสมาคม"

 บล็อกเกอร์ "อินทรีย์ภูเขา" เขียนเรื่องไทยแพ้ตกรอบ...ใครต้องลาออกครับ..ตอบหน่อย ว่า ความพ่ายแพ้ในครั้งนี้ ใครจะออกมารับผิด ทีมฟุตบอลชาติไทย ไม่ใช่ของใครคนใดคนหนึ่ง หรือของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่เป็นของคนไทยทั้งประเทศอยู่แล้ว ไม่สามารถทำให้เจริญได้ ก็หลีกทางให้คนอื่นที่มีฝีมือเข้ามาทำแทน

 บล็อกเกอร์ "ลูกเสือหมายเลข 9" เขียนข้อความว่า ไม่โทษนักเตะทีมชาติ เพราะเชื่อว่าทุกคนเต็มที่เพื่อชาติ แต่คนในสมาคมฟุตบอลฯ ต้องมีสปิริต

แข้งไทยถึงบ้านหงอย-"ร็อบโบ้"อยู่ต่อ

 ช่วงบ่ายวันที่ 8 ธันวาคม นักเตะทีมชาติไทยเดินทางกลับมาถึงเมืองไทย โดยสายการบินไทย เที่ยวบินที่ทีจี 434 บรรยากาศที่สนามบินสุวรรณภูมิมีเพียง “มร.โอเค” นายองอาจ ก่อสินค้า เลขาธิการสมาคมฟุตบอลฯ และญาตินักฟุตบอลรอต้อน ขณะที่สื่อมวลชนหลายสำนักดักรอสัมภาษณ์อนาคตของ “ร็อบโบ้” ไบรอัน ร็อบสัน กุนซือชาวอังกฤษของทีมชาติไทย ที่มีกระแสต่อต้านจากแฟนบอลอย่างหนัก

 ร็อบโบ้ เปิดเผยว่า ผิดหวังกับผลงานของทีมไทยมาก เพราะคาดหวังไว้มากกว่านี้ แต่คงไม่มีทีมไหนในโลกที่นักเตะมารวมตัวแล้วลงแข่งขันเลย ทีมไทยเองรวมตัวกันหลังจบนัดชิงชนะเลิศเอฟเอคัพแค่วันเดียวแล้วลงเล่นกับเรา ที่ผ่านมาเคยบอกสมาคมฟุตบอลไปแล้ว ไม่ใช่ว่าเพิ่งจะพูดเรื่องนี้หลังทีมตกรอบ และในฐานะผู้ฝึกสอนก็คงไม่มีหน้าที่ที่จะไปจัดโปรแกรมการแข่งขันลีกภายในประเทศต่างๆ ได้

 “ทีมไทยเตรียมทีมแค่วันเดียว แต่ทีมอื่นเตรียมทีมกัน 2-3 เดือน ทุกคนทำหน้าที่เต็มที่แล้ว ผมก็ให้ทุกอย่างเท่าที่ให้ได้แล้ว ผมภูมิใจในนักเตะทุกคน เราแสดงให้เห็นว่าดีกว่าลาว มาเลเซีย และอินโดนีเซีย แต่การตัดสินของผู้ตัดสินชาวญี่ปุ่นมีผลต่อทีมอย่างมาก ผมไปดูดีวีดีการแข่งขันย้อนหลังแล้ว เห็นได้ชัดว่าทีมไทยควรจะได้จุดโทษ 4-5 ครั้ง ตรงนี้ไม่ใช่ข้อแก้ตัว แต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ส่วนการเลือกตัวผู้เล่นนั้น ผมมั่นใจว่าเลือกคนที่ดีที่สุดมาติดทีมแล้ว” ร็อบสัน กล่าว

 กุนซือทีมชาติไทย กล่าวต่อว่า ยังมีความสุขกับการทำงานและเป็นเกียรติที่จะทำงานกับทีมชาติไทยต่อไป แต่ก็หวังว่าโปรแกรมแข่งขันลีกในอนาคตจะดีขึ้นกว่านี้ เพราะส่งผลถึงทีมชาติไทยด้วย ส่วนอนาคตของตนบอกได้เลยว่าจะไม่มีวันเดินหนีจากทีมชาติไทยแน่ ที่ผ่านมาพยายามทำทุกอย่างให้ดีที่สุดแล้ว ตอนเอเชี่ยนเกมส์เราโชคไม่ดีเล่นดีแต่แพ้ญี่ปุ่น ส่วนซูซูกิคัพก็เป็นเพราะเตรียมทีมไม่ดี

 “สัญญาของผมกับสมาคมฟุตบอลไทยยังเหลืออยู่ถึงเดือนเมษายน หลังจากนั้นต้องมาคุยกันอีกทีว่าจะเป็นอย่างไร แต่ผมบอกได้เลยว่า ยังมีความสุขที่เมืองไทย และมีความสุขกับนักฟุตบอล นักข่าว แต่เมื่อผลการแข่งขันออกมาไม่ดี ก็เข้าใจว่าต้องมีกระแสที่ไม่ดีตามมา และขอยืนยันว่า ตลอด 5 เดือนที่ผ่านมามุ่งมั่นทำงานกับทีมชาติไทยอย่างหนัก ไม่เคยเดินทางกลับไปอังกฤษหรือสิงคโปร์เพื่อทำงานของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เหมือนที่คนวิพากษ์วิจารณ์กันแน่นอน” ร็อบโบ้ กล่าวปิดท้าย

“บังยี”ยันไม่ออก-สมาคมไม่ผิด

 ด้าน “บังยี” นายวรวีร์ มะกูดี นายกสมาคมฟุตบอลฯ กล่าวถึงความล้มเหลวของทีมชาติไทยว่า ทีมไทยประสบปัญหาความยุ่งยากพอสมควรจากโปรแกรมการแข่งขันภายในประเทศ ทำให้เตรียมทีมได้ไม่ดีอย่างที่ตั้งใจไว้ ตรงนี้โทษใครไม่ได้ เพราะเหตุปัญหาการเมืองมีประท้วง และฝนที่ตกจนลีกแข่งไม่ได้เลย ต้องเลื่อนเกมมาสะสมกันในปลายปี การเพิ่มโปรแกรมลีกคัพไม่ใช่ปัญหา เพราะมีการตกลงกันอยู่แล้วว่าห้ามใช้ตัวผู้เล่นทีมชาติ

 “การเลื่อนโปรแกรมในประเทศเป็นเหตุสุดวิสัยทางการเมือง การเพิ่มโปรแกรมไม่ใช่ความผิดพลาดแน่นอน หากผิดพลาดทางสโมสรต้องออกมาโวยวายแล้ว ขณะที่การไม่ประสบความสำเร็จในรายการซูซูกิคัพ ส่วนหนึ่งต้องมองว่าผู้ตัดสินมีส่วน ตั้งแต่การพลาดแชมป์ใน 2 ครั้งที่ผ่านมา ทั้งเกมที่สิงคโปร์และเวียดนาม รวมถึงเกมที่อินโดนีเซียในปีนี้ ที่ทีมไทยน่าจะได้จุดโทษตั้งแต่เกมเจอกับมาเลเซียแล้ว” นายวรวีร์ กล่าว

 นายกสมาคมฟุตบอลฯ กล่าวต่อว่า สำหรับอนาคตของ ไบรอัน ร็อบสัน สมาคมฟุตบอลฯ ยังอยากจะให้เวลาทำงานต่อไป เป้าหมายเดิมคือฟุตบอลโลก ก็อยากจะให้เวลาเขาไปถึงตรงนั้น แล้วค่อยประเมินผลงานกันอีกที ส่วน สตีฟ ดาร์บี้ ยังมีสัญญาอยู่กับสมาคมจนถึงเดือนกันยายน หากจะยกเลิกสัญญาก็ต้องมีการจ่ายเงินทดแทน สมาคมเลยมอบหมายงานให้ไปทำด้านเทคนิค เพราะถ้าไม่มอบหมายงานให้ก็ต้องจ่ายเงินเดือนให้อยู่ดี จึงต้องใช้งานให้ครบสัญญาจึงจะจบเรื่องไป

 “เป้าหมายหลักและนโยบายที่ชัดเจนของผมคือ ทีมชาติไทยต้องเข้าไปถึงฟุตบอลโลก และโอลิมปิก ส่วนฟุตบอลลีกต้องเจริญก้าวหน้า การทำอะไรให้สำเร็จไปพร้อมกันถือว่ายากพอสมควร ที่ผ่านมาผมทำทุกอย่างแล้ว นอกจากลงไปเล่นเอง ถ้ามีอะไรบกพร่องผมพร้อมจะพิจารณาตัวเอง แต่ตอนนี้ผมก็ทำในลักษณะปกติสากลทำกัน ผมว่าดีกว่าหลายสมาคม ขอยืนยันว่าทำดีที่สุดแล้ว และสมาคมฟุตบอลเป็นของส่วนรวม ใครคิดว่ามีความสามารถเห็นว่าตัวเองเหมาะสมจะเป็นนายกสมาคมฟุตบอลก็เสนอตัวเข้ามาทำงานได้” บังยี กล่าว

 ส่วนเรื่องการเตรียมทีมชาติไทย เพื่อเข้าแข่งขันในรายการสำคัญ ปี 2554 นั้น นายวรวีร์ กล่าวว่า สมาคมฟุตบอลได้ตั้งเป้าเอาไว้ 3 รายการ ว่าจะต้องทำผลงานให้ดี และจะจัดเวลาให้แต่ละทีมได้เวลาฝึกซ้อมที่เพียงพอ เริ่มตั้งแต่ฟุตบอลปรีโอลิมปิก 2014 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย ที่มี “โค้ชหรั่ง” ชาญวิทย์ ผลชีวิน เป็นคนคุมทีม ส่วนรายการกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 26 ที่ประทศอินโดนีเซีย ยังไม่แน่ใจว่าจะให้ ร็อบสัน คุมทีมดีหรือไม่ เพราะในปีหน้าก็จะเริ่มการแข่งขันฟุตบอลโลก 2012 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย ในช่วงปลายปีเหมือนกัน

บ.ไทยลีกยอมรับโปรแกรมมีปัญหา

 ขณะที่ ดร.วิชิต แย้มบุญเรือง ประธานบริษัทไทยพรีเมียร์ลีก กล่าวถึงประเด็นที่หลายฝ่ายมองว่าโปรแกรมการแข่งขันฟุตบอลภายในประเทศทำให้การเตรียมทีมชาติไทยมีปัญหาว่า ต้องยอมรับว่าปีที่ผ่านมาฟุตบอลภายในประเทศมีปัญหาในเรื่องโปรแกรม เพราะเกิดสถานการณ์ไม่ปกติจนต้องเลื่อนจากกำหนดเดิม หากเป็นสภาวะปกติคงไม่ต้องมีการเลื่อนโปรแกรม

 “ตอนแรกบริษัทไทยพรีเมียร์ลีกวางโปรแกรมให้เกมลีกจบภายในวันที่ 23 ตุลาคม แต่ด้วยปัญหาทั้งความขัดแย้งทางการเมือง และการที่ทีมสโมสรของไทยมาขอเลื่อนโปรแกรมไปเตะในเกมสโมสรเอเชีย อีกทั้งรูปแบบการแข่งขันฟุตบอลถ้วย ทำให้มีเกมแข่งขันเยอะเกินไป จนฟุตบอลเอเอฟคัพต้องเลื่อนไปชิงชนะเลิศช้าเกินไป ตรงนี้ต้องยอมรับว่าเราวางระบบไม่ดี ทำให้เกมมีเตะเยอะเกินไป” ดร.วิชิต กล่าว

 ประธานบริษัทไทยพรีเมียร์ลีก เปิดเผยต่อว่า เมื่อมีเกมแข่งขันเยอะไป ในฤดูกาลหน้าก็จะต้องลดลงมา แต่ทีมก็จะได้เงินน้อยลงไปด้วย แม้จะมีการเพิ่มทีมเป็น 18 ทีมในไทยพรีเมียร์ลีกและดิวิชั่น 1 แต่ก็สามารถลดจำนวนเกมได้ ด้วยการปรับระบบฟุตบอลถ้วย ทั้งลีกคัพ และเอเอฟคัพใหม่ ไม่ใช่ให้แต่ละทีมเตะกันตั้งแต่รอบคัดเลือกที่เยอะไป ซึ่งบริษัทไทยพรีเมียร์ลีกยืนยันว่าปีหน้าต้องจบภายในเดือนตุลาคม

“โค้ชเฮง” ชี้ระบบไม่ดีปัญหาต่อเนื่อง

 ส่วน “โค้ชเฮง” นายวิทยา เลาหกุล ที่เคยสมัครลงชิงตำแหน่งนายกสมาคมฟุตบอลในสมัยที่แล้ว กล่าวว่า ความล้มเหลวของฟุตบอลไทยเป็นปัญหาต่อเนื่องมายาวนาน เพราะไม่เคยให้ความสำคัญต่อการพัฒนาเยาวชนและผู้ฝึกสอน รวมถึงระบบการบริหารงานของสมาคมฟุตบอลฯ อย่างที่ผ่านมาเวลามีการอบรมในต่างประเทศ สมาคมมักจะส่งคนไม่มีความรู้ไปอบรม หรือไปอบรมมาแล้วก็ไม่ค่อยเอามาถ่ายทอดต่อ

 “สมาคมฟุตบอลฯ ต้องปรับระบบการบริงานใหม่ เน้นไปที่การพัฒนาเยาวชนและผู้ฝึกสอน เวลาที่ส่งคนไปอบรมในต่างประเทศต้องให้คนที่มีความรู้และพูดภาษาอังกฤษได้ไปอบรม แล้วนำความรู้กลับมาถ่ายทอดให้ผู้ฝึกสอนของเมืองไทย ส่วนตัวแล้วผมพร้อมที่จะทำงานกับสมาคมฟุตบอลฯ เพราะอยากจะพัฒนาวงการฟุตบอลไทยอยู่แล้ว ซึ่งตำแหน่งที่สำคัญที่สุดคือประธานพัฒนาเทคนิค ที่จะต้องให้คำปรึกษาและพัฒนาในทุกๆ ส่วน" นายวิทยา กล่าว

ข่าวจาก คมชัดลึก