ลิงก์ผู้สนับสนุน
© เนื้อหาข่าว/กระทู้
เมื่อเวลา 09.50 น. วันที่ 5 ก.ย. ผูู้สื่อข่าว "ข่าวสด" รายงานว่า ที่ห้อง 404 อาคารวัฒโนสถ โรงพยาบาลกรุงเทพ อดีตนักแสดงสาว ‘กุ้งนาง ปัทมสูตร’ อายุ 41 ปี ได้เสียชีวิตลง ด้วยโรคมะเร็งกระดูกเชิงกรานลามไปที่ปอด หลังจากที่เข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลดังกล่าวเป็นเวลา 1 ปีเศษ
‘ก้ามปู สุวรรณปัทม์’ พี่สาวของอดีตนักแสดงสาวเผยว่า น้องสาวของตนเข้าออกโรงพยาบาลเพื่อรักษาโรคมะเร็งมาตั้งแต่ปีที่แล้ว แต่อาการยังไม่ดีขึ้น ที่ผ่านมาพวกเราเตรียมใจไว้ในระดับหนึ่ง จนในระยะหลังอาการก็ยังไม่ดีขึ้น และมีอาการปวดจากโรคมากยิ่งขึ้น จนต้องขอให้แพทย์ให้ยาเพื่อลดอาการเจ็บปวด แต่ผลของยาทำให้ผู้ป่วยอาการทรุดลง กุ้งนางไม่ยอมให้แพทย์ผ่าตัดหรือเจาะร่างกายเพื่อทำการรักษา เนื่องจากที่ผ่านมาได้รับความเจ็บปวดมากพอแล้วจากอาการของโรค ทำให้พวกเราเองตั้งแต่พ่ออี๊ด สุประวัติ, พี่เป็ด เชิญยิ้ม และนักแสดงคนอื่นได้แวะเวียนมาเยี่ยม และให้กำลังใจน้องสาวที่โรงพยาบาล
“จนมาถึงเมื่อเช้านี้ ตอนเวลา 09.50 น. กุ้งนางได้เสียชีวิตลงอย่างสงบ ถามว่าเสียใจหรือเปล่าเป็นธรรมดาที่จะต้องใจหาย แต่อย่างที่บอกเราเตรียมใจมาระดับหนึ่งแล้ว เพราะก่อนหน้านี้ประมาณ 2 อาทิตย์ หมอบอกว่าคงไม่มีทางรักษาให้หายได้ ในช่วงนั้นทางกุ้งนางหันมาฝึกธรรมะมากยิ่งขึ้น เขาเป็นคนที่ปลงได้มากกว่าพวกปูเสียอีก เพราะพอปูทราบเรื่องก็ร้องไห้ กุ้งนางซึ่งนอนอยู่บนเตียงยื่นกระดาษทิชชูมาให้แล้วพูดว่า จะร้องไห้ไปทำไม จนในช่วงนั้นพ่ออี๊ดยังพูดอยู่เลยว่า แทนที่คนไม่สบายจะร้องไห้ แต่กลับเป็นปูร้องไห้แทน ถือว่าน้องไปสงบแล้ว เพราะที่ผ่านมาเขาทรมานเหลือเกิน ถ้าในอีกมุมหนึ่งเขายิ่งอยู่นาน เขาจะยิ่งเจ็บปวดไปนานกว่านี้ ตอนนี้ถือว่าเขาหมดเวรหมดกรรมแล้ว”
ผู้สื่อข่าวรายการต่อไปว่า การเสียชีวิตของอดีตนักแสดงสาว จะมีพิธีรดน้ำศพในวันอังคารที่ 6 ก.ย.นี้ เวลา 16.00 น. ที่ศาลา 15 วัดพระศรีมหาธาตุ บางเขน จากนั้นจะมีพิธีสวดพระอภิธรรม เป็นเวลา 7 วัน และจะฌาปนกิจ ที่วัดเดียวกันนี้ในวันอังคารที่ 13 ก.ย.นี้
ก่อนหน้าเสียชีวิต กุ้งนางได้ให้สัมภาษณ์ นิตยสารวูเแมนส์สตอรี่ เกี่ยวกับการรักษาอาการป่วยโรคมะเร็ง แสดงให้เห็นถึงความเข้มแข็งในการต่อสู้กับโรคร้าย มีเนื้อหาดังนี้
เรื่องที่เกิดขึ้นคงตอนที่รู้ว่าตัวเองเป็นโรคมะเร็งนะคะ เป็นเรื่องที่ร้ายที่สุดที่เกิดขึ้นกับตัวเอง แต่สิ่งที่โชคดีก็คือเราตรวจเจอมันเร็ว แล้วเดินหน้าลุยใส่มัน ไม่ว่าจะผ่าตัด ฉายแสง ทำทุกอย่างที่เค้าต้องทำกัน แล้วเราก็รอดมาได้ จนถึงตอนนี้คุณหมอเช็คทุกอย่าง ไม่มีเชื้อนั้นอยู่ในตัวเราเลย ซึ่งเราก็ถือว่ามันเป็นเรื่องดีที่สุดที่มันเกิดขึ้นกับเรา ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้มันจะเป็นเรื่องที่ร้ายที่สุดสำหรับชีวิตเราก็ตามค่ะ(ยิ้ม)
ช่วงที่ตรวจเจอว่าเป็นโรคมะเร็งคือเมื่อปีที่แล้วนี่เองนะคะ ซึ่งคืนนั้นที่ไปฟังผลก็ต้องบินไปทำงานที่ยุโรปเพื่อไปดูเทรนด์แฟชั่นด้วย เลื่อนทุกอย่างไม่ได้เลย แล้วรอผลจากหมอก็เลื่อนไม่ได้เหมือนกัน ก็เลยคิดว่าชีวิตมันก็ต้องเดินไปตามสเต็ปที่วางเอาไว้ ก็ไปฟังผลก่อนปรากฏว่าคือ ตรวจพบ เป็นมะเร็งค่ะ หมอก็เลยให้เราเข้าเครื่องสแกน หาว่าเราเป็นระยะที่เท่าไร ทำอะไรกับมันได้บ้าง ต้องรักษาวิธีไหน หลังจากเข้าเครื่องเสร็จยังไม่ทันจะรู้ว่ามันเป็นอะไร ก็ต้องขึ้นเครื่องบินไปก่อน พอลงจากเครื่องก็โทรถามหมอว่าตกลงเราเป็นประมาณไหน ต้องรักษายังไงบ้าง แล้วตอนนั้นเราก็ต้องไปทำงานด้วย เป็นอะไรที่เรารู้สึกใจฝ่อมากๆ แล้วอาหารที่ยุโรปก็เป็นอะไรที่บำรุงโรคนี้ทั้งนั้นเลยนะ เค้าจะให้กินแบบชีวจิต เราคงกินไม่ได้ เพราะที่โน่นอากาศมันก็เย็น อยู่ไม่ได้แน่ ก็ตัดสินใจกินแบบปกติ แล้วเหมือนคุยกับตัวเองว่าเราเจอมันแล้วอย่ามาเป็นอะไรเยอะตอนนี้นะ ตั้งสติก่อนว่าฉันยังเป็นอะไรไม่ได้ ฉันจะต้องผ่านตรงนี้ไป แล้วจะต้องผ่านไปได้ด้วยดี
หลังจากนั้นคุณหมอก็วินิจฉัยโน่นนั่นนี่ รายละเอียดมากๆ ก็โทรกลับมาคุยอีก จำได้ว่าปีที่แล้วเสียค่าโทรศัพท์เฉพาะเรื่องนี้ไปหมื่นกว่าบาท หมอก็บอกว่าให้เราทำงานให้เต็มที่ ไม่ต้องห่วงอะไรทั้งสิ้น เค้าว่ามันจัดการได้ แต่ต้องมาวินิจฉัยกันอีกทีหลังจากที่ผ่าตัดไปแล้วว่ามันจะต้องฉายแสงกี่ครั้ง เราก็ถามว่าบอกเลยไม่ได้เหรอ เพราะนาทีนั้นเราก็ร้อนใจมากเหมือนกัน ซึ่งเราก็รู้มาเหมือนกันว่าคนที่ฉายแสง คนที่ให้คีโม ผลกระทบมันเป็นยังไง คือเราก็อยากรู้ว่าต่อไปเราจะเป็นยังไง หมอก็เลยให้ใจเย็นก่อนแล้วเค้าจะไปปรึกษากันก่อนว่าเคสประมาณนี้มันจะต้องฉายแสงกี่ครั้ง เสร็จแล้วรุ่งเช้าก็โทรหาหมออีก ถามว่าตกลงยังไงคะ หมอบอกว่าถ้าฉายแสงก็ประมาณ 28 ครั้ง อาทิตย์ละ 5 วัน ติดกัน เราก็โอเคไม่เป็นไร สู้! หมอก็ถามอีกว่าเราจะผ่าได้เมื่อไร แล้วพอดีว่าตอนที่รู้เรื่องว่าป่วย เจ้านายใหญ่ก็อยู่ด้วย ท่านก็เข้าใจก็บอกว่าถ้ากลับมาจากยุโรปเราจะเข้ารักษาก็ทำได้เลยนะ ไม่ต้องห่วงเรื่องงาน กุ้งนางก็เลยขอแอดมิททันทีหลังจากลงเครื่อง จากนั้นก็รอให้ร่างกายได้พักปรับตัวคืนหนึ่งก็เข้าห้องผ่าตัดทันทีเลยค่ะ
จำได้ว่าเข้าห้องผ่าตัด7 ชั่วโมง เลาะออกหมดเลยนะ แต่รังไข่หมอย้ายเอาไปไว้ข้างหลัง เพื่อที่เราจะยังมีฮอร์โมนจะได้ไม่กิน หรือฉีดเพิ่มเข้าไป หลังจากรักษาด้วยการผ่าตัดแล้วก็ทำตามขั้นตอนต่อไปคือฉายแสง 28 ครั้ง เช็คเกล็ดเลือด ถ้าต่ำลงก็ต้องหยุดฉายแสงก่อน แล้วก็โดปให้ร่างกายมันฟื้นกลับขึ้นมาถึงจะฉายแสงต่อได้ ใช้เวลารักษาทั้งหมดรวมๆ ก็ 6 เดือนค่ะ แต่ใช้ชีวิตอยู่ในโรงพยาบาลจริงๆ แค่เกือบเดือน ตอนนี้ก็หายแล้ว แต่ว่าคุณหมอก็ยังนัดไปทุกๆ 3 เดือนอยู่นะคะ แต่ก็ถือว่าโชคดีที่รักษาได้ทันค่ะ...
http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRNeE5USXdOVEkzTWc9PQ==§ionid=
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
|