หนุนสร้างเว็บไซต์ ชูจุดเด่นโรงแรมระดับ 1-3 ดาว ฉุดรายได้เข้ากระเป๋าคนไทย หลังยอดจองหด คาดดึงนักท่องเที่ยวจองที่พักผ่านออนไลน์ สร้างรายได้กว่า 20% ...
ปฏิเสธไม่ได้ว่า วิกฤตเศรษฐกิจแฮมเบอร์เกอร์ที่เกิดขึ้นทั่วโลก ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หลายธุรกิจต้องปิดตัวลง หรือถ้ายืนอยู่ก็แทบจะยืนเขย่งเสียด้วยซ้ำ ความร่ำส่ายระส่ายที่เกิดขึ้น ทำให้ธุรกิจตั้งแต่ขนาดใหญ่ ขนาดกลาง และขนาดเล็ก โดยเฉพาะด้านการท่องเที่ยว ได้แก่ ธุรกิจโรงแรมที่พัก ที่เป็นผลมาจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่ลดลง
ที่ผ่านมา ธุรกิจโรงแรมที่พักขนาดกลาง และขนาดเล็กต้องปิดตัวลง หลังจากที่ต้องแบกภาระอยู่พอสมควร แต่ล่าสุดสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ หรือสวทช. ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ หรือเนคเทค เขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ประเทศไทย หรือซอฟต์แวร์พาร์ค ศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี หรือทีเอ็มซี สมาคมโรงแรมไทย หรือทีเอช และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย หรือททท. เห็นความสำคัญของการพลิกฟื้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะธุรกิจการท่องเที่ยว จึงระดมทีมเพื่อนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยเยียวยา และหาช่องทางสร้างรายได้ให้กับโรงแรมระดับ1-3 ดาวแล้ว
คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เปิดเผยว่า จากสภาพปัญหาธุรกิจท่องเที่ยวของไทยตกต่ำลงจากปัญหาเศรษฐกิจโลกโดยรวม ส่งผลกระทบต่อกลุ่มโรงแรมขนาดเล็กของไทยอย่างรุนแรง รัฐบาลโดยกระทรวงวิทย์ฯ จึงได้กำหนดแผนการช่วยเหลือ ด้วยการเร่งสร้างระบบการตลาดออนไลน์ให้กับโรงแรมขนาด 1-3 ดาว ที่มีความเสี่ยงในทางธุรกิจที่สูงในขณะนี้ คาดว่าจะสร้างรายได้ให้กับผู้ประกอบการเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 20% ในปี 2552 ที่เริ่มเป็นปีแรก และจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในปีต่อๆ ไป
รมว.วิทย์ฯ เปิดเผยต่อว่า เป้าหมายคือ ทำให้โรงแรมระดับ 1-3 ดาว ที่เข้าร่วมโครงการทั้ง 300 ราย มีเว็บไซต์ที่มีประสิทธิภาพ เพิ่มจำนวนผู้เข้าชมเว็บ และสามารถเปลี่ยนผู้เข้าชมเว็บไซต์ให้เป็นลูกค้าได้ในที่สุด โดยจะช่วยให้ผู้ประกอบการมีความรู้ความเข้าใจ และพัฒนาศักยภาพของการทำธุรกิจบนอินเตอร์เน็ตที่ไม่มีค่าใช้จ่าย รวมทั้งสามารถดำเนินการได้ด้วยตนเองต่อไป
คุณหญิงกัลยา ชี้แจงว่า โครงการดังกล่าวยังช่วยลดจำนวนการเลิกจ้างพนักงาน เนื่องจากจำนวนลูกค้าที่ลดลง โดยคาดการณ์ตั้งแต่ต้นปี 2552 เป็นต้นมา ให้พนักงานในธุรกิจโรงแรม และที่พักออกจากงานเดือนละประมาณ 10,000 คน โดยกลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดก็คือ กลุ่มที่พักขนาดเล็ก เนื่องจากกลุ่มโรงแรมขนาดใหญ่สามารถส่งพนักงานไปภูมิภาคอื่นที่ธุรกิจยังไปได้ดี และต้องการกำลังคนได้ อย่างไรก็ตาม คาดว่าการปรับเปลี่ยนกำลังคนที่กำลังจะถูกปลดให้มาเพิ่มความรู้ และทักษะด้านอี-มาร์เก็ตติ้งจะช่วยให้โรงแรมระดับดังกล่าวสามารถปรับตัวเพื่อรองรับการท่องเที่ยวแบบออนไลน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
รมว.วิทย์ฯ ชี้แจงด้วยว่า ขณะนี้โรงแรมของไทยตั้งแต่ระดับ 4 ดาว ปรับระบบเอเย่นต์ การจำหน่ายห้องพัก จากเดิมกว่า 80% ที่ผ่านตัวแทนจำหน่ายจากทุกระดับ แต่หลังจากที่ขายผ่านออนไลน์ โรงแรมสามารถขายที่พักตรงให้กับลูกค้าทั่วโลกได้มากถึง 40% ทำให้โรงแรมของไทยมีส่วนแบ่งกำไรมากขึ้น และยังมีแนวโน้มว่าสัดส่วนนี้จะเพิ่มมากขึ้นเป็น 60% ในอนาคต ทั้งนี้ หมายความว่าความนิยมลูกค้าจองห้องพักผ่านทางออนไลน์โดยตรงจะเพิ่มในอัตราที่สูงขึ้นในอนาคต ขณะเดียวกัน คาดการณ์ว่าหลังจากโครงการสิ้นสุดลง สัดส่วนยอดจองโรงแรมผ่านระบบออนไลน์ในประเทศไทยจะมีปริมาณสูงขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มเป้าหมายที่เป็นคนไทยที่หันมาเที่ยวไทย และนิยมค้นหาที่พักราคาไม่แพงผ่านทางอินเทอร์เน็ต ที่เป็นกลุ่มเป้าหมายใหม่ของที่พัก 1-3 ดาว
รศ.ดร.ศักรินทร์ ภูมิรัตน ผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ หรือสวทช. อธิบายว่า พื้นที่ดำเนินการในโครงการนี้ครอบคลุม7 จังหวัดที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญคือ กรุงเทพฯ ชลบุรี (พัทยา) เชียงใหม่ เชียงราย ประจวบคีรีขันธ์ (ชะอำ-หัวหิน) ภูเก็ต สุราษฎร์ธานี (เกาะสมุย) โดยจะเริ่มอบรมระหว่างเดือนก.ค.–ส.ค. 2552 ทั้งนี้ ผู้ประกอบการที่สมัครเข้าร่วมจะต้องชำระค่ามัดจำจำนวน 5,000 บาท ต่อราย และจะได้รับเงินคืนเต็มจำนวนเมื่อเข้าร่วมกิจกรรมครบตามเงื่อนไข เพื่อป้องกันล้มเลิกระหว่างเรียน อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการสามารถส่งเจ้าหน้าที่เข้าร่วมอบรมได้รายละ 2 คนทั่วประเทศ ต่อหลักสูตร
ผอ.สวทช. เผยแนวทางการส่งเสริมอี-มาร์เก็ตติ้งของโครงการนี้ว่า วางไว้เป็นลำดับ ทั้งนี้ในกิจกรรมที่จะดำเนินการในช่วงแรก คือการทำให้มีเว็บไซต์ และเรียนรู้วิธีทำการตลาดออนไลน์ เพื่อให้สามาถนำไปใช้ได้จริง ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการทำธุรกิจบนโลกอินเทอร์เน็ต จากนั้นผู้ประกอบการจะสามารถนำเว็บไซต์เชื่อมต่อไปยัง Travel/Hotel Web Portal อื่นๆ เพื่อขยายช่องทางทำการตลาด และเข้าสู่กลุ่มลูกค้าได้กว้างมากขึ้น ทั้งนี้ เมื่อมีความพร้อมจะสามารถเพิ่มฟังก์ชั่นการใช้งานต่างๆ บนเว็บไซต์ ที่จำเป็นต่อการเป็น e-hotel เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการแก่ลูกค้าได้ต่อไป อาทิ ระบบ ออนไลน์บุ๊คกิ้ง ออนไลน์เพย์เม้นท์ และระบบการจัดการโรงแรม โดยจะเป็นโครงการนำร่องที่เป็นรูปธรรม และเห็นผลได้ภายใน 7 เดือน
นายสุรพงษ์ เตชะหรูวิจิตร อุปนายกสมาคมโรงแรมไทย หรือทีเอชเอ กล่าวถึงปัญหาของธุรกิจโรงแรมในขณะนี้ว่า ถือเป็นวิกฤตขั้นรุนแรง โดยทางสมาคมเชื่อว่า การใช้ความสามารถของเทคโนโลยีสารสนเทศเข้าสู่ตลาดออนไลน์ ถือเป็นหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญที่มีประสิทธิภาพสูงสุด อีกทั้ง เชื่อมั่นว่า จะช่วยแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น เนื่องจากผู้ประกอบการสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าและขยายช่องทางการตลาดได้เป็นอย่างมาก ถือเป็นการช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับกลุ่มเป้าหมาย
ส่วนการต่อยอดโครงการ อุปนายกสมาคมโรงแรมไทย เผยว่า ทางสมาคมเร่งจัดทำระบบจองที่พักผ่านทางอินเทอร์เน็ต และระบบจ่ายเงินทางอินเทอร์เน็ต ที่สามารถเชื่อมโยงเข้ากับเว็บไซต์ของโรงแรมต่างๆ โดยเฉพาะโรงแรมขนาดเล็กที่ไม่จำเป็นต้องเสียค่าใช้จ่ายลงทุนสร้างระบบใหม่ ดังนั้นการที่มีเว็บไซต์ของโรงแรมทั้งหลายมาต่อเชื่อม จะยิ่งทำให้การจองที่พักด้วยระบบออนไลน์ได้รับความนิยมมากขึ้น และส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยวโดยรวมได้
นายพนม กะรีบุตร ผู้อำนวยการ สำนักเทคโนโลยีสารสนเทศ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย หรือ ททท. อธิบายถึงการช่วยเหลือผู้ประกอบการห้องพักโรงแรม 1-3 ดาวครั้งนี้ว่า ทางททท.ร่วมสนับสนุนโดยจะนำโครงการ Tourism e-Plaza ที่เพิ่งเปิดดำเนินการเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งด้วย โดยระบบไอทีที่ช่วยอำนวยความสะดวกจะมีตั้งแต่ ระบบจองห้องพักที่สามารถแจ้งสถานะได้ทันที หรือ Instant Booking ทำให้เจ้าของห้องพักสามารถปรับราคา และปรับเปลี่ยนโปรโมชันเองได้ รวมทั้งมีระบบจองทัวร์ รองรับการจ่ายเงินผ่านบัตรเครดิต ทำให้การทำงานผ่านระบบออนไลน์ของโรงแรมขนาดเล็กทำได้โดยสะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น
ผอ.ททท.แจ้งด้วยว่า ปี 2552 นี้ ททท.จัดแคมเปญการตลาดออนไลน์ใหญ่ 2 ส่วนคือ 1.โครงการ Thailand Super Deal โดยผู้ประกอบการสามารถส่ง Deal พิเศษเข้าร่วมในโครงการได้ 2.จัดทำเว็บไซต์เวอร์ชั่นใหม่ 2.0 ภายใต้ชื่อ www.TourismThailand.org ที่เป็นเว็บท่าของ ททท. โดยจะเพิ่มช่องทางให้ผู้ประกอบการใช้เผยแพร่และประชาสัมพันธ์ไปสู่ตลาดทั่วโลกได้เป็นอย่างดี
แม้ว่าทุกภาคส่วนจะยื่นมือเข้าช่วยเหลือ แต่ถ้าพฤติกรรมผู้บริโภคยังเป็นแบบเดิมอยู่ หรือตื่นตัวเพียงแค่ชั่ววูบ การกระตุ้นก็คงไม่เกิดผลดีแน่ ตรงกันข้ามกลับยิ่งสร้างภาระความรับผิดชอบให้แก่ผู้ประกอบการเ เพราะเว็บไซต์ต้องอัพเดตอย่างสม่ำเสมอ ถ้านิ่งอยู่กับที่ หรือทำเพียงฉาบฉวยก็เปรียบเสมือนไฟไหม้ฟาง
ขณะเดียวกัน หากร่วมมือกันจริงจัง ไทยอาจจะเป็นประเทศอันดับต้นๆ ที่พลิกวิกฤตเศรษฐกิจโลกให้เป็นโอกาส และสร้างรายได้ช่วงเศรษฐกิจซบให้ฟื้นกลับมาคึกคักได้ในไม่ช้า...
กนกรัตน์ โกวิชัย
Itdigest@thairath.co.th