|
|
|
|
ตลาดเครื่องพิมพ์พรินเตอร์เป็นสินค้าที่สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำให้กับบริษัทผู้ผลิตมาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะในตลาดคอนซูมเมอร์ ที่มีผู้ผลิตหลักอยู่ไม่กี่ราย (เท่าที่นับดูไม่เกิน 4 ราย) โดย 3 รายใหญ่ที่ขับเคี่ยวกันมาตลอด ก็คือ ฮิวเลตต์ แพคการ์ด หรือ HP แคนนอน และเอปสัน เราเพิ่งได้เห็นความเปลี่ยนแปลงเมื่อปีที่ผ่านมา เมื่อบรรดาค่ายพรินเตอร์ทั้งหลายต่างพาเหรดกันออกเครื่องพิมพ์สำหรับรูปถ่าย หลังจากที่ไปเทคโนโลยีเดิมเป็นได้แค่เครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ตแบบธรรมดา คำถามก็คือ ทิศทางและเทคโนโลยีสำหรับตลาดเครื่องพิมพ์ในปีนี้ จะมีอะไรเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ไปกว่าเดิมหรือไม่ หนึ่งในคำตอบที่ต้องไปค้น ก็คืองาน Big Bang ของ HP ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค หรือ APAC ที่เป็นการประกาศโรดแมปสินค้าคอนซูมเมอร์ของ HP ในภูมิภาคนี้ ณ แถบชานเมืองกรุงปักกิ่ง ประเทศจีนเมื่อต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา ในงานนี้ HP เล่นขนเอาเครื่องพรินเตอร์ที่เรียกว่า Photo Printer มาวางตลาดในทุกไลน์ กลายเป็นสินค้าหลักของบริษัทแล้วเขี่ยเครื่อง Deskjet ซึ่งเป็นชื่อเฉพาะของตลาดอิงค์เจ็ตพรินเตอร์ ออกจากสารบบการผลิตในระยะยาว จะมีขายก็แต่ในประเทศที่เป็นตลาดที่ต้องการสินค้าไฟล์ตติ้งแบรนด์ หรือที่มีการตัดราคากันเยอะๆ อย่าง ไทย อินเดีย ฯลฯ ส่วนตลาดในญี่ปุ่นนั้นไม่ต้องพูดถึง HP ไม่มีไลน์ Deskjet เข้าไปขายอีกแล้ว ไม่ต้องเอ่ยถึงชื่อรุ่นมากมายที่ผมจำไม่หมด ผมว่าคนซื้ออย่างเราๆ นั้นก็ไม่มัวมาจำชื่อรุ่นของพรินเตอร์กันแล้ว ยกเว้นแต่ตอนที่ต้องการโหลดไดร์ฟเวอร์ผ่านเน็ตเท่านั้น ถึงไปเล็งชื่อรุ่นกัน เอาเป็นว่าเครื่องของ HP ที่ออกมาใหม่จะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว นั่นคือเน้นไปที่สีขาวนวล แบบที่เครื่องแมคเคยสร้างความสำเร็จมาแล้ว เป็นตัวดึงดูด คอนเซ็ปของพรินเตอร์ HP ที่จะเล่นกับพรินเตอร์ของตัวเองในปีนี้ก็คือ เน้นความสะดวก และรวดเร็ว ฟังดูเหมือนง่าย แต่จริงๆ แล้วค่อนข้างทำยากเหมือนกัน เพราะมันเป็นต้นทุนที่แฝงมาในการผลิตและส่งต่อไปยังผู้บริโภคอย่างช่วยไม่ได้ เอาอย่างเช่น เรื่องความสะดวก เครื่องพรินเตอร์ของ HP ส่วนใหญ่จะต้องมีช่องเสียบมีเดียต่างๆ มากมาย เช่นการ์ดต่างๆ ที่ใช้กับกล้องดิจิตอลทุกรุ่น หรือสัญญาไร้สายอย่าง บลูทูธ ก็กลายเป็นเรื่องจำเป็นไปเสียแล้ว เพราะชีวิตยุคใหม่เขาใช้กล้องดิจิตอลในโทรศัพท์มือถือถ่ายรูปกันให้เกร่อไปหมด ถ่ายเสร็จไม่ต้องต่อสายแต่ยิงไปที่พรินเตอร์รูปก็ออกมาทันที จุดหลักที่พรินเตอร์ของ HP เน้นนักเน้นหนาในปีนี้ก็คือ ต่อไปนี้พรินเตอร์ไม่ง้อพีซีหรือโน้ตบุ๊คส์อีกต่อไป ตัวมันเองสามารถตั้งอยู่ที่ไหนแล้วก็ทำงานกับอะไรก็ได้ ตัวอย่างเช่น โทรศัพท์มือถือที่กล่าวไปแล้ว พ็อกเก็ตพีซี หรือแม้แต่กล้องดิจิตอลทั้งเล็กและใหญ่ ดังนั้นตัวพรินเตอร์จำเป็นต้องมีมอนิเตอร์เล็กๆ เอาไว้เพื่อให้พรินเตอร์สามารถเป็นตัวเลือกรูปที่จะพิมพ์ได้เอง ผมเชื่อว่าแนวทางการพัฒนาตรงนี้นอกจากมอนิเตอร์จะใหญ่ขึ้นอีกแล้วโอกาสที่มันจะคมชัดจะมีมากขึ้น สาเหตุหนึ่งที่ HP หรือผู้ผลิตพรินเตอร์แบรนด์อื่นๆ พยายามที่จะเจาะตลาด Photo Printer ก็คือ การเฟื่องฟูของตลาดกล้องดิจิตอลจนตอนนี้คนเมืองเกือบ 50% จะมีกล้องดิจิตอลเป็นของตนเองแล้ว บางบ้านมีมากกว่า 1 ด้วยซ้ำ การถ่ายรูปกลายเป็นงานอดิเรก ที่ถ่ายกันแบบไม่ต้องยั้ง หลายคนเก็บเป็นไฟล์ แต่หลายคนยังชอบที่จะอัดรูปออกมาแจกจ่ายหรือให้คนอื่นได้ดู สถานการณ์ของบ้านเราตอนนี้ราคาค่าอัดรูปจากร้านก็อยู่ประมาณ 3-5 บาทต่อรูป อาจต้องเสียเวลารอสักนิดอย่างน้อยก็ครึ่งชั่วโมงในร้านที่คนไม่มาก แต่บางร้านก็ปาเข้าไปเป็นชั่วโมงเล่นเอาหงุดหงิดเหมือนกัน และถ้าใครสังเกตให้ดีจะเห็นว่ารูปที่ไปอัดจากร้านชื่อดังต่างๆ นั้นคุณภาพของรูปจะไม่แหมือนกัน คือรูปเดียวกันที่สั่งอัด หากอัดมาหลายใบ แต่ละใบก็แตกต่างกัน เพราะเครื่องพิมพ์ของร้านอัดนั้นไม่ได้ถูกตั้งมาให้มีความเสถียรที่ดีพอ เช่นเดียวกับโรงพิมพ์ปกติที่สีก็อาจไม่ตรงกับไฟล์ที่เรามีอยู่ จากประเด็นตรงนี้บรรดาผู้ผลิตพรินเตอร์ต่างรู้ดีว่า ถ้าจะชิงตลาด Photo Printer ให้กลับมาเป็นของตนเอง ยึดตลาดจากร้านอัดรูป ต้องมีการปรับต้นทุนต่อแผ่นของการผลิตให้กับลูกค้าลงมา จากเดิมที่ปีที่แล้วราคาต่อแผ่นนั้นเหยียบไปที่ 15 บาท แต่สำหรับปีนี้เราได้เห็นที่ราคาประมาณ 7-8 บาท นี่คือราคาที่รวมหมึกและกระดาษแล้ว เมื่อยังไม่สามารถทำให้ราคามาอยู่ที่เท่ากัน เพื่อทำให้การแข่งขันสมบูรณ์แล้ว สิ่งที่พรินเตอร์จะต้องชูจุดแข็งก็คือ 1. ความสวยงามที่เสถียร นั่นคือภาพไม่มีเพี้ยน แม้ว่าจะพิมพ์กี่ครั้งก็ตาม 2. ใช้ความเป็นส่วนตัว สะดวกและรวดเร็ว ไม่ต้องเสียเวลารอ เพราะเดี๋ยวนี้พรินเตอร์ใหม่ๆ นั้นนอกจากคุณภาพแล้วยังพิมพ์ได้รวดเร็ว บางทีพิมพ์ภาพขนาดใหญ่อย่าง A4 ใช้เวลาเพียงแค่นิดเดียว 3. ต้องเน้นเรื่องขนาดของกระดาษที่พิมพ์ที่หลากหลายมากกว่าโปสการ์ด จากร้านอัด ผมยังเชื่อว่าทิศทางการพัฒนาของพรินเตอร์เพื่อการถ่ายภาพยังพัฒนาไปได้อีกไกล เพราะพรินเตอร์ที่เป็นตัวขนาดใหญ่ยังมีเทคโนโลยีใหม่โดยเฉพาะสีที่ใช้เริ่มมีความลึก สีถูกแยก scale ของมันออกเป็นชั้นๆ มากขึ้น ทำให้ภาพที่ได้สมจริง สมจัง อย่างเครื่องระดับโปรของ HP ที่ผมเห็นในงานนี้ เลือกที่จะเพิ่มสีดำ และสีเทา รวมเป็นสามสี ทำให้แสงเงา และความสมจริงของสีดำมีมากขึ้นอย่างผิดหูผิดตา สีพวกนี้โอกาสที่จะถูกนำมาใช้กับเครื่องเล็กๆ ที่ขายให้กับคอนซูมเมอร์คงจะเกิดขึ้นในอนาคต จากที่เราเคยเห็นหมึกพรินเตอร์เครื่องเล็กจะมีแค่สองอย่างคือ สีดำ กับสีรวม มาถึงวันนี้มันได้ถอดเทคโนโลยีหมึกแบบ CMYK กลายเป็นใช้หมึก 4 ตลับ ซึ่งใช้ในเครื่องพิมพ์ขนาดใหญ่มาก่อน จึงเชื่อว่าในปีสองปีนี้เครื่องรุ่นเล็กนี่แหละจะมีขายแบบมากกว่า 4 สี จะเพิ่มสีอ่อน สีแก่ อื่นๆ เพิ่มขึ้นมาแน่นอน บทสรุป Big Bang ของ HP ครั้งนี้แม้จะไม่ใช่ทิศทางทั้งหมดของตลาดพรินเตอร์ แต่เชื่อได้เลยว่า ไม่ได้หนีกันเท่าไหร่หรอก ส่วนเมืองไทย Big Bang ของ HP คงมีการเปิดตัวเป็นทางการปลายเดือนกันยายนนี้ บรรดาสื่อต่างๆ คงจะสามารถขยายความออกมาได้มากกว่านี้
|
|
|
|
|
|