• กินยาสิวจนตับวาย-นศ.สาวอาการโคม่า |
โพสต์โดย กรรมกรข่าว , วันที่ 08 มิ.ย. 51 เวลา 12:54:43 IP: Hide ip |
กด like เพื่อติดตามข่าวสารดีๆ จาก cmprice.com VVVVVV
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
ลิงก์ผู้สนับสนุน
© เนื้อหาข่าว/กระทู้
กินยาสิวจนตับวาย-นศ.สาวโคม่า
แม่วิงวอนผู้ใจบุญบริจาคตับช่วยชีวิตลูกสาววัย 21 ปี เผยลูกสาวเกิดอาการตับวายฉับพลัน อาการโคม่าอยู่ในห้องไอซียูศิริราช แพทย์ชี้ต้องเปลี่ยนตับภายใน 2 เดือนเพื่อช่วยชีวิตคนไข้
ระบุลูกสาวไปรักษาสิวคลินิกชื่อดัง รับยามาทานอยู่ 2 สัปดาห์ก็เกิดอาการไข้ มีผื่นขึ้นตามตัว จากนั้นก็เกิดอาการช็อกจากตับวายฉับพลัน แพทย์ชี้มีแนวโน้มว่าเกิดจากยารักษาสิว ด้านนายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญผิวหนังระบุอาจเป็นเพราะตัวยาในกลุ่มวิตามินเอชนิดหนึ่ง หากให้ยาเกินขนาดหรือกินยานานเกินไป
เมื่อวันที่ 7 มิ.ย. นางจรัส ใหญ่น้ำ อยู่บ้านเลขที่ 42/1 ม.1 ต.กระเบื้องใหญ่ อ.พิมาย จ.นครราชสีมา เดินทางมายัง สำนักงาน "ข่าวสด" เพื่อขอความช่วยเหลือกรณีน.ส.วิรัตนสรา หรือน้องหนึ่ง ใหญ่น้ำ อายุ 21 ปี นักศึกษาคณะโลจิสติกส์ มหาวิทยาลัยบูรพา ลูกสาวของตนที่ป่วยด้วยอาการตับอักเสบรุนแรง มีความจำเป็นต้องเปลี่ยนตับภายใน 2 เดือน ขณะนี้มีอาการหนักนอนไม่รู้สึกตัวอยู่ที่โรงพยาบาลศิริราช
นางจรัสกล่าวว่า ก่อนหน้าที่ลูกสาวจะป่วย เคยเป็นเด็กที่มีสุขภาพแข็งแรง แต่เมื่อกลางเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา ลูกสาวโทรศัพท์มาบอกว่ารู้สึกไม่สบาย โดยมีอาการไข้ และมีผื่นขึ้นตามตัว ซึ่งตนได้แนะนำให้ไปพบแพทย์ ลูกสาวจึงไปรักษาที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในจ.สุพรรณบุรี เพราะขณะนั้นเดินทางไปพักอยู่กับน้องสาวของตน แต่แพทย์ไม่สามารถตรวจวินิจฉัยอาการได้ โดยตั้งข้อสงสัยว่าอาจจะเป็นไข้เลือดออก
นางจรัสเล่าต่อว่า จากนั้นตนจึงได้เดินทางไปรับน.ส.วิรัตนสราไปรักษาต่อที่ร.พ.เจริญกรุงประชารักษ์ แพทย์วินิจฉัยว่าป่วยเป็นโรคตับอักเสบ แต่ก็ไม่สามารถหาตัวไวรัสที่ทำให้ป่วยได้ และมีแนวโน้มว่าจะเป็นโรคแพ้ภูมิแพ้ ขณะนั้นอาการทรุดลงอย่างรวดเร็วจนเกือบจะช็อกหลายครั้ง
ทำให้ตนตัดสินใจพาลูกสาวไปรักษาที่ร.พ.ศิริราช โดยขณะนั้นลูกสาวมีอาการช็อกจากอาการตับวายฉับพลัน ทำให้ต้องนอนอยู่ในห้องไอซียูตลอด อย่างไรก็ตาม แพทย์ได้ทำการรักษา และตรวจวินิจฉัยอาการพร้อมกับนำยาต่างๆ ที่ลูกสาวเคยรับประทานไปตรวจวิเคราะห์
นางจรัสเล่าต่อว่า ต่อมาแพทย์ร.พ.ศิริราชแจ้งให้ตนทราบว่าสาเหตุที่ทำให้ตับอักเสบ และเกิดอาการวายฉับพลัน มีแนวโน้มว่าจะเกิดจากยารักษาสิวที่ลูกสาวใช้ก่อนที่จะมีอาการเจ็บป่วย โดยการรักษาอาการตับอักเสบมีทางเดียวคือการทดลองเปลี่ยนตับ อาจจะสามารถยืดอายุของลูกได้
แต่การเปลี่ยนตับจำเป็นจะต้องรอคิวนานและไม่แน่ใจว่าจะสามารถได้เมื่อไหร่ จึงอยากจะขอความช่วยเหลือผ่านสื่อว่าหากมีผู้ป่วยผู้ใดที่มีจิตกุศลอยากต้องการบริจาคตับโดยตรงก็อยากจะขอความกรุณาเพราะเป็นโอกาสเดียวที่จะรักษาชีวิตของลูกได้
น.ส.เกศมณี เต็มศิริ เพื่อนนักศึกษาของน.ส.วิรัตนสรา หรือน้องหนึ่ง กล่าวว่า ก่อนหน้าที่น.ส.วิรัตนสราจะป่วยนั้น ได้ไปเข้ารับการรักษาสิวที่คลินิกผิวหนังชื่อดังแห่งหนึ่ง ซึ่งมีสาขาอยู่ทั่วประเทศ โดยแพทย์ได้ให้ยาตัวเดียวกับเพื่อนที่แนะนำ และเพิ่มยาที่ระบุว่าเป็นยาแก้เครียด
มีลักษณะหยุ่นๆ มีน้ำสีม่วงฟ้าอยู่ข้างในมาให้รับประทาน ทำให้ภายในระยะ 2 สัปดาห์สิวของน.ส.วิรัตนสราหายไป แต่หลังจากนั้นไม่นานก็เกิดมีอาการเป็นไข้ มีผื่นขึ้นตามตัว และมีอาการไออย่างหนัก จนกระทั่งต้องเข้าโรงพยาบาลดังกล่าว ซึ่งตนและเพื่อนๆ ก็เชื่อว่าสาเหตุน่าจะมาจากยารักษาสิวดังกล่าว
"สำหรับเพื่อนคนที่แนะนำให้หนึ่งไปรักษา ใช้เวลาตั้ง 6 เดือนกว่าจะหาย แต่สำหรับหนึ่งใช้เวลาแค่ 2 อาทิตย์ก็หาย รวมทั้งยาที่ได้รับมาก็เป็นยาตัวเดียวกัน ซึ่งถือว่าเป็นยาที่แรงเพราะเพื่อนคนนั้นเวลาทานยานี้เข้าไปจะเกิดอาการปากแห้ง คอแห้งอย่างรุนแรง ทำให้หน้าลอกออกมาเป็นแผ่นๆ ซึ่งสำหรับหนึ่งหลังจากนั้นไม่นานเขามีอาการตัวเหลือง มีอาการไข้จนต้องเข้ารักษาที่โรงพยาบาล" น.ส.เกศมณี กล่าว
น.ส.เกศมณีกล่าวด้วยว่า สิ่งที่ครอบครัวรวมทั้งตนและเพื่อนๆ ของน.ส.วิรัตนสรา อยากจะขอความกรุณาก็คือถ้าหากมีผู้ป่วย หรือญาติผู้ป่วย ที่อยากจะต้องการทำกุศลเป็นครั้งสุดท้ายด้วยการบริจาคตับ ก็อยากจะขอรับบริจาคเพราะแพทย์ระบุว่า น.ส.วิรัตนสราจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนตับอย่างเร็วที่สุดภายในสองเดือนนี้
ซึ่งขณะนี้ยังไม่สามารถรอคิวจากสภากาชาดได้ ซึ่งจะเป็นกุศลอย่างยิ่ง นอกจากนี้ที่ผ่านมาครอบครัวของ น.ส.วิรัตนสรา ยังต้องเสียค่ารักษาพยาบาล ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่สูงมาก หากมีผู้มีจิตเมตตาต้องการช่วยเหลือก็จะยิ่งเป็นพระคุณอย่างมาก โดยสามารถติดต่อได้ที่เบอร์โทร. 08-5169-7033 หรือ 08-6541-3773
วันเดียวกัน นายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญผิวหนัง กล่าวถึงกรณีนี้ ว่า จากที่ฟังเรื่องราวทั้งหมด คาดว่าถ้าหากจะเกิดสาเหตุจากยารักษาสิว คิดว่าน่าจะเป็นตัวยาในกลุ่มวิตามินเอชนิดหนึ่ง ซึ่งแพทย์จะพิจารณาจ่ายให้กับคนไข้ที่มีอาการสิวอักเสบรุนแรง แต่ที่ผ่านมาก็ยังไม่พบว่าเกิดปัญหา หรือถ้าหากจะเกิดขึ้นก็น่าจะเกิดจากการใช้ยาชนิดนี้มากเกินขนาดหรือ ใช้ต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน
ทั้งนี้ในการจ่ายยาตัวนี้แพทย์จะพิจารณาจ่ายตามน้ำหนักตัวในโดสที่เหมาะสม รวมทั้งในการตรวจรักษา และก่อนจ่ายยาจะต้องมีการตรวจสอบประวัติคนไข้ว่าเคยแพ้ยาชนิดใด หรือ มีอาการแพ้ยาหรือไม่ เนื่องจากยาตัวนี้อาจจะมีผลข้างเคียงที่เป็นอันตราย โดยเฉพาะกลุ่มสตรีที่อยู่ในวัยเจริญพันธุ์หรือมีครรภ์ เพราะอาจจะทำให้เด็กพิการได้
"ในกรณีนี้คงต้องตรวจสอบดูว่าคนไข้ใช้ยาตัวนี้จริงหรือไม่ และใช้ยาชนิดอื่นด้วยหรือเปล่า หรือว่าอาจจะมีปัญหากับตับอยู่ก่อนหน้านั้นแล้วเพราะอาจจะเป็นสาเหตุที่เกิดขึ้นได้ ทั้งนี้จึงอยากเตือนคนไข้ที่จะเข้ารับการรักษาในทุกกรณีว่าควรจะบอกเล่าประวัติต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพของตัวเองให้แพทย์ทราบอย่างละเอียด เพื่อที่แพทย์จะได้จ่ายยาได้ถูกต้องและปลอดภัย" แพทย์ด้านผิวหนังกล่าว
ที่มาจากหนังสือพิมพ์
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
|
|
|
แจ้งลบกระทู้นี้
อ่าน 1367 |
|
แสดงความคิดเห็น |
โดย กรรมกรข่าว
IP: Hide ip
, วันที่ 08 มิ.ย. 51
เวลา 12:54:43
|