ติดตามการขับเคลื่อน GI ได้เราไม่หยุดที่จะพัฒนา โดยความร่วมมือขององค์การบริหารส่วนจังหวัดลำพูน เทศบาลตำบลหนองช้างคืน และสำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ BEDO (องค์การมหาชน)
ขอแสดงความยินดีกับชาวลำพูน !!!! ที่กรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ ได้ประกาศขึ้นทะเบียน "ลำไยเบี้ยวเขียวลำพูน" เป็นสินค้าสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) แล้วเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2560 ที่ผ่านมา โดยลำไยเบี้ยวเขียวลำพูน เป็นสินค้ารายการที่ 3 ของจังหวัดลำพูน ที่ประกาศขึ้นทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI)ต่อจาก ผ้าไหมยกดอกลำพูน และลำไยอบแห้งเนื้อสีทองลำพูน
สำหรับลำไยเบี้ยวเขียวลำพูน มีองค์การบริหารส่วนจังหวัดลำพูน เทศบาลตำบลหนองช้างคืน และสำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน) เป็นผู้ขอยื่นขึ้นทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์หรือ (GI) ต่อกรมทรัพย์สินทางปัญหา กระทรวงพาณิชย์ เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2559 ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ได้ประกาศโฆษณารับขึ้นทะเบียนในวันที่ 27 มีนาคม 2560 ปรากฏไม่มีผู้ยื่นค้านการขึ้นทะเบียนภายใน 90 วัน นับแต่วันประกาศโฆษณา
ลำไยเบี้ยวเขียวลำพูน (Lamphun Biaokhiao Longan) หรือ ลำไยพันธุ์เบี้ยวเขียวป่าเส้า จะได้รับการขึ้นทะเบียนภายใต้พระราชบัญญัติคุ้มครองสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ พ.ศ. 2546 เพื่อปกป้องภูมิปัญญาท้องถิ่นที่ได้รับการสืบทอดต่อ ๆ กันมาให้ยังคงเป็นมรดกของชุมชน โดยไม่ถูกใครลอกเลียนแบบหรือแอบอ้างนำไปจดสิทธิบัตรเป็นของส่วนตัว ซึ่งลำไยเบี้ยวเขียวลำพูน มีลักษณะผลกลม ผิวเปลือกขรุขระ สีน้ำตาลปนเขียว เนื้อมีสีขาว แห้ง แน่น รสชาติหวานหวาน เมล็ดสีดำมันกลม และแบนด้านข้าง ปลูกในพื้นที่ 6 ตำบลของอำเภอเมืองลำพูน ได้แก่ ตำบลหนองช้างคืน ตำบลอุโมงค์ ตำบลเหมืองง่า ตำบลต้นธง ตำบลริมปิง และตำบลประตูป่า ลำไยเบี้ยวเขียวลำพูน จะให้ผลผลิตปีละ 1 ครั้ง ในช่วงเดือนกรกฎาคม-กันยายน โดยเริ่มเก็บเกี่ยวได้ครั้งแรกเมื่อต้นลำไยอายุ 3 ปี
ทั้งนี้ สินค้าสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ GI เป็นสินค้าที่มาจากแหล่งผลิตที่เฉพาะเจาะจงโดยคุณภาพหรือชื่อเสียงของสินค้าจะมีความเชื่อมโยงกับแหล่งภูมิศาสตร์ที่มีการผลิตสินค้านั้น ไม่ว่าจะเป็นดิน น้ำ อากาศ และภูมิปัญญาของชุมชนในท้องถิ่น ส่งผลให้สินค้านั้นแตกต่างกับสินค้าประเภทเดียวกันที่ผลิตในแหล่งอื่น ซึ่งจุดเด่นนี้ และการได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นสินค้า GI จากกรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ จะช่วยสร้างความมั่นใจแก่ผู้บริโภคว่าเป็นสินค้าที่มาจากแหล่งผลิตแท้จริง เพิ่มมูลค่าให้กับสินค้า GI และ ส่งเสริมเศรษฐกิจของท้องถิ่นแหล่งกำเนิดสินค้าให้เพิ่มมากขึ้น