• พญายีบา ร้องไห้ - เหตุใด ที่ทำให้เสียเมืองหริภัญชัย สิ้นสุดราชวงศ์หริภุญชัย |
โพสต์โดย โน้ต cmprice , วันที่ 19 มี.ค. 61 เวลา 11:57:40 IP: Hide ip |
กด like เพื่อติดตามข่าวสารดีๆ จาก cmprice.com VVVVVV
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
ลิงก์ผู้สนับสนุน
© เนื้อหาข่าว/กระทู้
เรื่องราวของพญายีบาโดยย่อๆ ท่านเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าโสภะ ปกครองบ้านเมืองด้วยความร่มเย็นเป็นสุขจากปี พ.ศ. ๑๘๐๐ ถึง ๑๘๑๐ เหตุที่เสียเมืองเพราะเมื่อพญามังรายสร้างเมืองเชียงรายในปี ๑๘๐๕ ได้รวบรวมแว่นแคว้นเรียกว่าหาเมืองขึ้น
ก็ยังเหลือเมืองที่เข้มแข็งมากอยู่ ๒ เมือง คือ พะเยาและหริภุญไชย ซึ่งพะเยากับเชียงรายนั้นเป็นมิตรกันอยู่แล้ว คงเหลือแต่หริภุญไชยเท่านั้นที่ต้องการ แต่หริภุญไชยนั้นเป็นอาณาจักรใหญ่และเข้มแข็ง ขุนนางชื่อขุนอ้ายฟ้าจึงเสนอตัวทำอุบาย ไปรับราชการอยู่กับพญายีบาถึง ๗ ปี ระหว่างนั้นก็ยุยงให้พญายีบากดขี่ราษฎร จนพญามังรายเข้าตีหริภุญไชยได้โดยง่ายดาย
…..จากนั้น อ้ายฟ้าได้ให้พ่อค้าที่รู้จักคุ้นเคยกับตนพาไปเข้าเฝ้าพญายี่บาที่เมืองลำพูนและขอถวายตัวเป็นข้ารับใช้ ทั้งนี้ เมื่อพญายี่บาเห็นว่าอ้ายฟ้าถูกลงทัณฑ์อย่างรุนแรงเจียนตายมาจริง จึงทรงเชื่อว่าอีกฝ่ายมาสวาภักดิ์ด้วยความจริงใจ ครั้นต่อมาเมื่ออ้ายฟ้าสำแดงสติปัญญาช่วยในงานราชการบ้านเมืองเป็นอันมาก พญายี่บาก็โปรดปรานขุนศึกชาวลัวะผู้นี้มากขึ้นเรื่อยๆ โดยหลังจากเข้ารับราชการได้เพียงสองปี พญายี่บาก็ตั้งอ้ายฟ้าให้เป็นเสนาบดีผู้ใหญ่มีหน้าที่รับคำสั่งจากพระองค์แต่เพียงผู้เดียว
…..ครั้นได้ตำแหน่งสำคัญแล้ว อ้ายฟ้าก็วางอุบายทำให้ชาวเมืองเสื่อมความชื่นชมในตัวพญายี่บาต่างๆนาๆ เช่นเรียกเก็บภาษีเพิ่มและเรียกเกณฑ์แรงงานอย่างหนัก จนชาวเมืองพากันโกรธแค้นและเสื่อมความจงรักภักดีในพญายี่บา
…..หลังจากเห็นว่าแผนการของตนดำเนินมาจนเป็นผลสำเร็จแล้ว อ้ายฟ้าก็ลอบส่งข่าวให้พญามังรายยกทัพมาตีเมืองลำพูน ซึ่งเมื่อทัพเชียงแสนมาถึง พวกชาวเมืองลำพูนก็ไม่ตั้งใจสู้ศึก ซ้ำยังมีบางพวกแปรภักดิ์ไปเข้ากับทัพเชียงแสนอีกด้วย จนทำให้พญามังรายสามารถยึดลำพูนหริภุญไชยได้อย่างง่ายดาย
…..ฝ่ายพญายี่บาได้หนีไปอยู่ที่เมืองลำปางซึ่งพญาเบิกโอรสของพระองค์ครองเมืองอยู่
พญายีบาหนีจากเมืองออกไปถึงดอยกลางป่า นึกเสียใจที่เสียรู้ขุนอ้ายฟ้าเป็นไส้ศึก ให้พญามังรายเข้าตีหริภุญไชยได้สำเร็จ ก็หลั่งน้ำตาร้องไห้ สถานที่น้ำตาตกนี้จึงเรียกว่า "ดอยพญายีบาร้องไห้" มาจนทุกวันนี้ คือบริเวณดอยซึ่งตั้งอยู่ด้านหลังวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีลำพูนในปัจจุบัน
…..สิบสี่ปีต่อมา หลังจากสะสมไพร่พลจนเข้มแข็งแล้ว พญายี่บาก็ให้พญาเบิกนำทัพใหญ่มาตีเมืองลำพูนหริภุญไชย ทว่าทางฝ่ายพญามังรายได้เตรียมตัวไว้พร้อมแล้ว จึงจัดทัพใหญ่ไว้รอรับข้าศึก และเมื่อทัพพญาเบิกมาถึง ก็ถูกทัพเชียงแสนเข้าโจมตีจนแตกพ่าย สูญเสียรี้พลไปเป็นจำนวนมาก ส่วนพญาเบิกนั้นได้นำไพร่พลที่เหลือถอยหนีไปจนถึงบ้านแม่ตานในเขตเมืองลำปาง แต่ก็ถูกทัพเชียงแสนติดตามมาทันและเข้าล้อมทัพของพระองค์ไว้ กองทัพของพญาเบิกถูกทำลายย่อยยับ ส่วนพญาเบิกนั้นถูกทหารเชียงแสนจับตัวได้และถูกปลงพระชนม์เสียในที่นั้น
…..ทางด้านพญายี่บาเมื่อทราบข่าวว่า พระโอรสสิ้นพระชนม์แล้ว ก็ทรงเห็นว่า พระองค์หมดหนทางที่จะรักษาเมืองลำปางเอาไว้ได้ จึงเสด็จหนีออกจากลำปางลงไปพึ่งพญาสองแควที่เมืองพิษณุโลก แคว้นสุโขทัย ขณะที่ฝ่ายพญามังรายเองก็มิได้ส่งทัพไล่ติดตามไปแต่อย่างใด ด้วยเห็นว่าพญายี่บาหมดสิ้นทางที่จะต่อสู้กับเชียงแสนได้อีกแล้ว
…..สำหรับพญาเบิกนั้น วีรกรรมความกล้าหาญและความกตัญญูของพระองค์ที่นำทัพสู้ศึกเพื่อช่วยพระบิดาชิงเมืองกลับคืน จนต้องสิ้นพระชนม์นั้น ทำให้ชนรุ่นหลังเล่าขานเรื่องราวของพระองค์สืบมาและขนานนามให้พระองค์เป็น "เจ้าพ่อขุนตาน" ซึ่งในปัจจุบันมีศาลอันศักดิ์สิทธิ์ตั้งอยู่ที่ปากถ้ำขุนตาน ใกล้กับสถานีรถไฟขุนตาน
การได้เมืองหริภุญไชย
พญามังรายมีพระราชประสงค์จะได้เมืองหริภุญไชย (ลำพูน) เพราะเป็นเมืองมั่งคั่ง เป็นศูนย์การค่าระหว่างประเทศ ธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ ทั้งยังมีทางน้ำติดต่อถึงเมืองละโว้และเมืองอโยธยาด้วย[4] ทรงพระดำริแล้วก็ทรงให้ข้าราชการคนหนึ่งชื่อ อ้ายฟ้า ปลอมปนเข้าไปเป็นไส้ศึกในเมืองหริภุญไชย[4] ขณะนั้น เมืองหริภุญไชยมีพญาญี่บาเป็นพระมหากษัตริย์[4] อ้ายฟ้าจึงทำให้ชาวหริภุญไชยไม่พอใจพญาญี่บา โดยเกณฑ์พวกเขาไปขุดเหมืองในฤดูร้อนเพื่อถ่ายแม่น้ำปิงมาสู่แม่น้ำกวงเป็นระยะทางสามสิบหกกิโลเมตร[4] ปัจจุบัน เหมืองดังกล่าวก็ยังมีและยังใช้ได้ดีอยู่ด้วย[4]
อ้ายฟ้าดำเนินแผนต่ออีกโดยตัดไม้ซุงลากผ่านที่นาของชาวบ้านในหน้านา ทำให้ข้าวเสียหายเป็นอันมาก โดยอ้ายฟ้าแจ้งประชาชนว่า พญาญี่บาจะทรงสร้างพระราชวังใหม่[4] อ้ายฟ้าบ่อนทำลายเมืองหริภุญไชยอยู่นานเกือบเจ็ดปี[4] ชาวหริภุญไชยจึงเอาใจออกห่างพญาญี่บาเต็มที่ เมื่อพญามังรายทรงกรีธาทัพมายึดเมือง ชาวเมืองก็ให้ความร่วมมือแก่พระองค์เป็นอย่างดี พระองค์ทรงได้เมืองไปโดยง่ายเมื่อ พ.ศ. 1824[4] แต่ชินกาลมาลีปกรณ์ว่าเป็น พ.ศ. 1835 ซึ่งสอดคล้องกับความเห็นของประเสริฐ ณ นคร (th.wikipedia.org/wiki/)
อ้างอิงจาก http://www.thaipost.net/node/29674
อ้างอิงจาก พญาเบิก ตำนานเจ้าพ่อขุนตาน
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
|
|
|
แจ้งลบกระทู้นี้
อ่าน 955 |
|
แสดงความคิดเห็น |
โดย โน้ต cmprice
IP: Hide ip
, วันที่ 19 มี.ค. 61
เวลา 11:57:40
|