ลับที่สุด
สถานเอกอัครราชทูตกัมพูชา
เหม่งจ๋าย
กทม.10310
พฤศจิกายน 2552
เรื่อง ขอให้ส่งตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ของราชอาณาจักรไทย กลับมาดำเนินคดีในประเทศไทย
เรียน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
ตามที่ท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้ขอให้เราส่งตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ของราชอาณาจักรไทย กลับมาดำเนินคดีในประเทศไทย ความละเอียดแจ้งอยู่แล้วนั้น
ข้าพเจ้าได้แจ้งคำขอของท่านไปยังรัฐบาลกัมพูชาเรียบร้อยแล้ว ได้รับบัญชาจาก ฯพณฯ สมเด็จ ฮุนเซ็น ให้แจ้งกับท่านว่า
รัฐบาลกัมพูชาได้พิจารณาถึงระเบียบพิธีทางการทูต ตามแบบของนานานท่าอารยะประเทศ ที่ถือปฏิบัติต่อกันแล้ว ไม่มีทางพิจารณาเป็นอย่างอื่นไปได้ นอกจากจะกล่าวกับท่านว่า
1. ฯพณฯ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นั้น ได้รับเลือกเข้าไปดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แห่งราชอาณาจักรไทย โดยเสียงข้างมากจากชาวไทยอย่างท่วมท้น แต่รัฐบาลของที่ได้รับความนิยมจากประชาชน
กลับถูกรัฐประหารจากคณะทหาร ซึ่งเป็น
กระบวนการที่เลวร้าย ไม่สามารถยอมรับได้ในสังคมนานาชาติ!
รัฐบาล หลังการรัฐประหาร จึงได้รับการต่อต้านจากประเทศต่างๆอย่างกว้างขวาง จนไม่สามารถดำเนินการเช่นรัฐบาลที่มาตามระบอบประชาธิปไตย เช่น การจัดซื้ออาวุธ ยุทโธปกรณ์ ซึ่งถูกปฏิเสธจากประเทศมหาอำนาจได้ เป็นต้น
2. หลังจากการปฏิวัติรัฐประหาร ได้มีการตั้งคณะบุคคลขึ้นมาทำการสอบสวน หาความผิดของ ฯพณฯ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กับพวก ซึ่งโลกก็รับรู้ว่า
บุคคลที่ตั้งมาทำการสอบสวนนั้น เป็นปฏิปักษ์กับอดีตนายกรัฐมนตรีทั้งคณะ
การ กระทำของคณะรัฐประหาร ต่อรัฐบาลของ ฯพณฯ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรกับพวก เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง และนอกจากไม่เคารพหลัก
“ศุภนิติกระบวน” (Due Process of law) เยี่ยงอารยะประเทศแล้ว ยังขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ของประเทศท่านเองด้วย นั่นคือ
คณะผู้ยึดอำนาจ ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายที่มีใช้อยู่ในขณะนั้น
(และยังมีใช้อยู่จนถึงปัจจุบัน) เป็นหลักในการดำเนินคดีกับ ฯพณฯ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
ดังนั้น คำสั่งของคณะทหาร
ได้ทำลายหลักประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ของประเทศท่านลงโดยสิ้นเชิง และ ทั้งชั้นอัยการและศาล กลับไปยอมรับกระบวนการหรือคำสั่งอันไม่ถูกต้องนั้น ด้วยความหวาดกลัวในอำนาจของคณะทหาร ที่
ปล้นอำนาจการปกครองของชาวไทยที่น่าสงสาร ไปอย่างน่าอดสูเป็นที่สุด
แม้รัฐบาลไทยจะกล่าวอ้างว่า คดีของ ฯพณฯ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะมีการพิจารณาในศาล แต่พลเมืองของท่านนั่นแหละทราบดีว่า
ต้น ทางของกระบวนการยุติธรรม ของประเทศท่านนั้น ดันไม่มีความยุติธรรมเสียแล้ว ถึงแม้กระบวนการชั้นอัยการ และศาล จะเป็นไปตามวิธีพิจารณาของคดีปกติก็ตาม แต่เมื่อขั้นต้นของกระบวนการยุติธรรม ไม่ชอบธรรมเสียแล้ว ย่อมทำให้กระบวนการยุติธรรมเสียไปทั้งหมด เปรียบเสมือนดังว่า
ท่านแช่เย็นอาหารสดที่เน่าเสียแล้ว 1 สิ่ง ปนกับอาหารดี 2 สิ่ง ในที่สุดอาหารดีก็พลอยเน่าเสียไปด้วย!
กระบวนการยุติธรรมของบ้านท่านนั้น ก็เปรียบอาหารที่เน่าเสียทั้งหมดเช่นกัน!!
จึง ไม่น่าแปลกใจ ที่บัดนี้ มีเสียงต่อต้านออกมาในทำนองว่ากระบวนการยุติธรรมของประเทศไทย ไม่ได้รับความเชื่อถือ แม้แต่ในประเทศของตนเอง!!!
3. ท่านรัฐมนตรีคงทราบดีว่า ฯพณฯ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไม่ได้ถูกตัดสินในคดีทุจริต แต่ศาลลงโทษตามความผิดตามกฎหมาย ป.ป.ช. ประเทศของท่าน ซึ่งกัมพูชาของเราไม่มีกฎหมายลักษณะเดียวกันกับประเทศท่าน
ดังนั้น การที่ไม่ส่งตัว ฯพณฯ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ตามคำขอของท่าน ก็เป็นไปตามหลัก DOUBLE CRIMINALITIES อันเป็นหลักการสากล ในกระบวนการส่งผู้ร้ายข้ามแดน ที่สังคมนานาชาติยึดถือกัน
4. รัฐบาลกัมพูชานั้น แน่ใจว่า ท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ คงจะเข้าใจในหลักอธิปไตยของประเทศเอกราช ว่า การส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนนั้น
เป็นเอกสิทธิของเราโดยแท้
ใคร หรือประเทศไหน หรือแม้แต่ประเทศไทยก็ตาม จะบังอาจ “ทะลึ่ง” มาบังคับข่มขู่ประเทศเอกราชอย่างกัมพูชา โดยบอกว่าคนโน้นคนนี้เป็นผู้ร้าย ทั้งๆที่เขาไม่ได้เป็นอย่างที่กระบวนเลวร้ายของประเทศท่าน พยายามกลั่นแกล้งกล่าวหา และยกมาเป็นข้ออ้าง เพียง เพื่อจะให้เรา ส่งตัวไปดำเนินคดีในประเทศของตัวตามอำเภอใจ ในลักษณะเอแต่ได้ โดยเป็นการละเมิดหลักสิทธิมนุษยชน ที่สังคมระหว่างประเทศ ยึดถือกันเป็นแบบแผน นั้น
ไม่ได้อย่างเด็ดขาด!
บทสรุปแห่งจดหมายนี้ ข้าพเจ้าในฐานะตัวแทนของรัฐบาลและประชาชนชาวกัมพูชา ก็มีความเห็นสอดคล้องกับชาวโลกที่เจริญแล้ว ว่า
บรรดาสรรพคดีทั้งหลายแหล่ ที่ฯพณฯ พ.ต.ท.ทักษิณ
ชินวัตร ถูกยัดเยียดข้อกล่าวหา โดยคณะกรรมการปรปักษ์ องค์กรที่น่ารังเกียจ ที่แต่งตั้งคณะผู้ยึดอำนาจจากปวงชนชาวไทย (ที่บัดนี้ได้กลายเป็น “คณะมั่งมีแห่งชาติ” หรือ ค.ม.ช. เพราะตอนนี้กลายเป็นเศรษฐี มั่งคั่งกันไปทั่วถ้วนแล้ว) ซึ่งเป็นการกระทำที่น่าเกลียดน่าชังเป็นอย่างยิ่ง
จะให้ประเทศกัมพูชาและโลกที่เจริญแล้ว เข้าใจเป็นอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากสรรพคดีเหล่านั้น
เป็น “คดีการเมือง” อย่างชัดเจน!
หวัง ใจว่า ท่านรัฐมนตรีซึ่งเคยปากเสีย เพราะบังอาจด่าทอ ดูถูกฯพณฯ ฮุนเซ็น นายกรัฐมนตรีแห่งประเทศของเรา แต่รัฐบาลที่ไม่ฉลาดของประเทศไทย กลับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ คงจะเก็บจดหมายนี้ไว้เป็น “ความลับ” ทั้งนี้ก็เพราะว่า
หากท่านเปิดเผยจดหมายฉบับนี้ออกไปแล้ว ไม่เพียงแต่จะเป็นที่อับอายต่อประชาชนคนไทย ซึ่งปัจจุบันก็มองรัฐบาลปัจจุบันของท่าน เป็น “รัฐบาลโลซก” บ้าง “รัฐบาลแดกได้-แดกดี” บ้าง แต่รัฐบาลไทยจะกลายเป็นตัวตลก ที่น่าขบขัน และยังจะเป็นรัฐบาลซึ่งถูกดูถูกดูแคลน โดยพลโลกทั้งปวง ในสังคมระหว่างประเทศที่เจริญแล้วอีกด้วย
ด้วยความปรารถนาดี
ลงชื่อ
( )
เอกอัครราชทูต