• ''เจ้ายอดเรือน'' ชายาองค์สุดท้าย ของเจ้าผู้ครองนครลำพูนองค์สุดท้าย |
โพสต์โดย โน้ต cmprice , วันที่ 07 มิ.ย. 58 เวลา 11:55:15 IP: Hide ip |
กด like เพื่อติดตามข่าวสารดีๆ จาก cmprice.com VVVVVV
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
ลิงก์ผู้สนับสนุน
© เนื้อหาข่าว/กระทู้
บทความโดย Pensupa Sukkata
ที่มา https://www.facebook.com/notes/584626338218308/
เจ้ายอดเรือนในวัยดรุณเจ้ายอดเรือนในวัยดรุณ
คนส่วนใหญ่ได้ยินแต่กิตติศัพท์ของ "คุ้มเจ้ายอดเรือน" ว่าโดดเด่นในด้านตัวหน้าจั่ว "สรไน" ที่สร้างด้วย “ไม้กลึง” ท่อนเดียว อันเป็นเทคนิคโบราณหายากยิ่ง ทำให้ได้รับรางวัลอาคารอนุรักษ์ดีเด่นจากสมาคมสถาปนิกสยามฯ เมื่อสองปีที่ผ่านมา
![](./m/loading3.gif)
สรไนหรือจั่วไม้กลึงท่อนเดียว สูงเกือบ 2 ฟุต ที่คุ้มเจ้ายอดเรือนสรไนหรือจั่วไม้กลึงท่อนเดียว สูงเกือบ 2 ฟุต ที่คุ้มเจ้ายอดเรือน
แล้วประวัติความเป็นมาแห่งเจ้าของคุ้มเล่า ไยจึงไม่มีการเผยแพร่กันบ้าง จะให้ไปค้นหาอ่านจากหนังสือเล่มไหนหรือ
คงถึงเวลาแล้วกระมัง ที่ต้องนำเสนอชีวประวัติของ "เจ้ายอดเรือน ณ ลำพูน" ผู้เป็นชายาองค์สุดท้าย ของเจ้าผู้ครองนครลำพูนองค์สุดท้าย
มิใช่เขียนเพื่อสรรเสริญเยินยอต่อคุณูปการที่ท่านทำหน้าที่ "แม่ศรีเรือน" สมสมัญญา หากเป็นเพราะคำนำหน้านามของท่านนั้น เคยเกิดข้อถกเถียงอยู่ช่วงหนึ่ง จำเป็นต้องชี้แจงต่อสาธารณชนให้หายคาใจ
เจ้ายอดเรือน "ชายา" หรือ "หม่อม" ? ของเจ้าหลวงลำพูน
หลายปีก่อนได้มีทายาทของเจ้าหลวงลำพูนที่สืบสายมาจากชายาลำดับที่สอง ได้ทักท้วงว่าการเรียกชื่อ"เจ้า" ยอดเรือน นั้นเป็นคำเรียกที่ผิด เนื่องจากเจ้ายอดเรือนหาใช่ "ชายา" ไม่ เป็นเพียงสามัญชน จึงมีฐานะแค่ "หม่อม" คนหนึ่ง
เหตุการณ์นั้นลุกลามไปถึงการประท้วงให้ถอดป้ายชื่อ "คุ้มเจ้ายอดเรือน" ออกจากอาคารด้วย
![](./m/loading3.gif)
ป้าแดงกาญจนา มหาแสน หลานสาวเจ้ายอดเรือน ปัจจุบันเป็นผู้ดูแลคุ้มเจ้ายอดเรือน ยืนกลางระหว่างคุณหญิงอมรา พวงชมพู และ ดร.เพ็ญ (ผู้เขียน)ป้าแดงกาญจนา มหาแสน หลานสาวเจ้ายอดเรือน ปัจจุบันเป็นผู้ดูแลคุ้มเจ้ายอดเรือน ยืนกลางระหว่างคุณหญิงอมรา พวงชมพู และ ดร.เพ็ญ (ผู้เขียน)
แม้แต่ประวัติทำเนียบชายาของเจ้าหลวงลำพูน ในเล่มที่ทายาทสายนั้นบันทึกไว้ก็ไม่ปรากฏนามของเจ้ายอดเรือนแม้แต่แห่งเดียว สร้างความสับสนงุนงงให้แก่ครูสอนประวัติศาสตร์ในลำพูนไม่น้อย
เพื่อให้ผู้อ่านคลายความสงสัยในเบื้องต้น ขออนุญาตเกริ่นนำถึงเจ้าหลวงลำพูนกันเสียก่อน
เจ้าหลวงลำพูนองค์สุดท้ายก่อนที่จะมีการยกเลิกตำแหน่งนี้ เป็นองค์ที่ 10 มีนามเต็มว่า พลตรี มหาอำมาตย์โท เจ้าจักรคำขจรศักดิ์ สมภพเมื่อ19 พฤษภาคม 2418คนลำพูนเรียกท่านย่อๆ ว่า "เจ้าหลวงจักรคำฯ"
![](./m/loading3.gif)
พลตรี มหาอำมาตย์โท เจ้าจักรคำขจรศักดิ์พลตรี มหาอำมาตย์โท เจ้าจักรคำขจรศักดิ์
เจ้าหลวงจักรคำฯ ได้รับพระราชทานนามสกุลจากรัชกาลที่ 6 ให้เป็นต้นสกุล "ณ ลำพูน" สืบสายมาจากวงศ์เดียวกันกับเจ้าหลวงเชียงใหม่และลำปาง นั่นคือสายของพระเจ้ากาวิละ ผู้ที่ตัดสินใจพาชาวล้านนาไปขอพึ่งบารมีของพระเจ้ากรุงธนบุรีเพื่อปลดแอกพม่า ทำให้ล้านนามีฐานะเป็น "ประเทศราช" ของสยาม
ส่งผลให้เจ้าผู้ครองนครในล้านนามีฐานันดร "หย่อนชั้น" ลงมาจากพระมหากษัตริย์ ซึ่งราชสำนักสยามมีฐานานุศักดิ์เริ่มจากพระเจ้าแผ่นดิน เจ้าฟ้า พระองค์เจ้า หม่อมเจ้า หม่อมราชวงศ์ หม่อมหลวง จนสิ้นสุดคำนำหน้าไปแล้ว สิ่งที่ยังสะท้อนว่าคนผู้นั้นมีเชื้อเจ้า ก็คือการใช้นามสกุล ณ อยุธยา ต่อท้าย
แต่สำหรับเจ้าผู้ครองนครล้านนาแล้ว โดยทั่วไประดับสูงสุดมีฐานะ "พระองค์เจ้า" หรือ "เจ้าประเทศราช" ยกเว้นบางพระองค์มีฐานะสูงในระดับ "เจ้าฟ้า" ถือเป็นกรณีพิเศษที่ได้รับการปูนบำเหน็จความดีความชอบจากทางสยาม แต่มีไม่มากนัก จัดเป็น "พระเจ้าประเทศราชล้านนา" ของลำพูนเคยมีพระเจ้าบุญมาเมืองเพียงพระองค์เดียว
ซึ่งเจ้าหลวงจักรคำฯ ก็อยู่ในฐานันดรที่เทียบได้กับพระองค์เจ้า
ท่านมีชายา 4 องค์ และหม่อมสองคน ชายาท่านแรกคือ "แม่เจ้าขานแก้ว" (อนึ่ง คำว่า "แม่เจ้า" บางครั้งอาจใช้สลับกับ “เจ้าแม่” ได้เช่นกัน) ผู้เป็นธิดาเจ้าบุรีรัตน์ หรือเจ้าน้อยพรหมเทพ ชายาองค์แรกนี้ถึงแก่กรรมตั้งแต่อายุ 28 ปี มีทายาทผู้สืบสายสกุลในฐานะโอรสองค์โต ถ้าเทียบแล้วก็คือระดับหม่อมเจ้า นาม "เจ้าพงศ์ธาดา ณ ลำพูน"
![](./m/loading3.gif)
พลอากาศตรี เจ้าวัฒนันท์ ณ ลำพูน ผู้สืบตระกูล หรือทายาทสายตรงจากโอรสของเจ้าหลวงจักรคำฯ (บุตรองค์โตของเจ้าพงศ์ธาดา)พลอากาศตรี เจ้าวัฒนันท์ ณ ลำพูน ผู้สืบตระกูล หรือทายาทสายตรงจากโอรสของเจ้าหลวงจักรคำฯ (บุตรองค์โตของเจ้าพงศ์ธาดา)
ชายาองค์ที่สองคือ "แม่เจ้าแขกแก้ว" เป็นน้องสาวแท้ๆ ของแม่เจ้าขานแก้ว ต่อมาท่านลาออกไปดูแลเจ้าบิดาของท่านเมื่อปี พ.ศ. 2459
ชายาองค์ที่สามเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางคือ "เจ้าหญิงส่วนบุญ" หรือ "แม่เจ้าส่วนบุญ" ผู้มีสายสกุลทั้งจากลำพูนและเชียงใหม่
![](./m/loading3.gif)
คุณเจ้าดารารัตน์ ณ ลำพูน ทายาทสายเจ้าหญิงส่วนบุญ ยืนกลางระหว่างเจ้าป้าชวนคิด ณ ลำพูน และป้าแดงกาญจนา มหาแสน ทายาทสายเจ้ายอดเรือนคุณเจ้าดารารัตน์ ณ ลำพูน ทายาทสายเจ้าหญิงส่วนบุญ ยืนกลางระหว่างเจ้าป้าชวนคิด ณ ลำพูน และป้าแดงกาญจนา มหาแสน ทายาทสายเจ้ายอดเรือน
สุดท้าย "แม่เจ้ายอดเรือน" ซึ่งมีความสนิทชิดเชื้อกับแม่เจ้าส่วนบุญมาก ทั้งสองต่างก็รักยกย่องเกรงใจและให้เกียรติซึ่งกันและกัน เจ้าส่วนบุญแทนตัวเองว่าพี่ ส่วนเจ้ายอดเรือนแทนตัวเองว่าข้าเจ้าเหมือนผู้หญิงล้านนาที่ใช้คำนี้กับผู้สูงวัยกว่า
นอกจากนี้ยังมีหม่อมอีกสองคนคือ หม่อมคำแยง และหม่อมแว่นแก้ว ซึ่งทั้งคู่มีอายุมากกว่าเจ้ายอดเรือนและเข้ามาอยู่ในคุ้มหลวงก่อนหน้าแล้ว
ชายาสามองค์แรกนั้นไม่มีข้อกังขาถึงเรื่องเชื้อสายวงศ์ตระกูลที่สืบมาจากเจ้าผู้ครองนครลำพูน-เชียงใหม่องค์ก่อนๆ
ที่น่าสนใจคือกรณีของ "เจ้ายอดเรือน" ท่านสืบเชื้อสายมาจากสกุลใด ไยทายาทของชายาบางองค์จึงไม่ยอมรับให้รวมอยู่ในทำเนียบชายา?
เจ้าราชภาติกวงษ์ เชื้อสายเจ้าเชียงตุง
อันที่จริงเจ้าปู่ของเจ้ายอดเรือนนั้นเป็นถึง "เจ้าราชภาติวงษ์" ผู้มีนามเดิมว่า "เจ้าน้อยดวงทิพ ตุงคนาคร" อันเป็นนามสกุลพระราชทานของรัชกาลที่ 6 ที่สะท้อนถึงการสืบสายมาจากเจ้าเมืองเชียงตุง
![](./m/loading3.gif)
เจ้าน้อยดวงทิพทำหน้าที่เสนาสรรพากร (พระยาวังซ้าย) คู่กับเจ้าหลวงจักรคำฯ ซึ่งทำหน้าที่เสนาคลัง (พระยาวังขวา) มาตั้งแต่ปี 2440 ในยุคเจ้าผู้ครองนครลำพูนองค์ที่ 9 คือเจ้าหลวงอินยงยศโชติ (พระบิดาของเจ้าหลวงจักรคำฯ)
ตำแหน่ง "เจ้าราชภาติกวงษ์" มีความเป็นมาอย่างไร โดยธรรมเนียมแล้ว "เจ้านายฝ่ายเหนือ" ประกอบด้วย "เจ้า 5 ขัน" หรือ "เจ้าขันทั้งห้า" 1. เจ้าหลวง 2. เจ้าอุปราช 3. เจ้าราชวงศ์ 4. เจ้าบุรีรัตน์ 5. เจ้าราชบุตร ถือเป็นตำแหน่งสูงสุด เมื่ออภิเษกกับเจ้านายล้านนารวมถึงเจ้าเชียงตุงด้วยกัน ลูกที่เกิดมาย่อมเป็น "เจ้า"
หากพ่อเป็นเจ้า แม่เป็นไพร่ ลูกจะเป็นเจ้าไปทุกชั้น หากพ่อเป็นไพร่ แม่เป็นเจ้า ลูกจะไม่เป็นเจ้า ยกเว้นสายตรงเจ้าหลวงถ้าแม่เป็นธิดาเจ้าหลวงได้สวามีเป็นไพร่ ลูกก็เป็นเจ้า
มีผู้พยายามหาเหตุผลว่าทำไมเจ้าจึงมีชายาและหม่อมหลายคน ด้วยคำอธิบายว่าสมัยก่อนไม่มีดารา มีก็แต่ ช่างซอ (ขับลำนำเพลง) หรือช่างฟ้อน ซึ่งส่วนมากเป็นคนนอกคุ้มหรือสามัญชน เมื่อเจ้าติดใจเหล่าช่างซอช่างฟ้อนนางใดขึ้นมาก็มักขอมาเป็นหม่อม ฝ่ายพ่อแม่มักยินดีเพราะถือว่าช่วยยกสถานะความเป็นอยู่ของวงศ์ตระกูลให้ดีขึ้น
นอกจากเจ้าขันทั้งห้าแล้ว สมัยรัชกาลที่ 4 ยังได้แต่งตั้งตำแหน่งขุนนางที่มีเชื้อสายเจ้าในระดับสูงเพิ่มมาอีกสามตำแหน่ง เป็นการสืบต่อโดยสายเลือด บ้างก็เลื่อนมาตามลำดับ ได้แก่ 1. เจ้าราชสัมพันธ์วงศ์ 2. เจ้าราชภาคินัย และ 3.เจ้าราชภาติกวงษ์ สำหรับเจ้าที่ไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับภารราชกิจส่วนมากจะเป็นผู้หญิงก็จะอยู่ในตำแหน่งของ เจ้าวรญาติ และเจ้าประยูรญาติ
![](./m/loading3.gif)
ตำแหน่ง "เจ้าราชภาติกวงษ์" เดิมก็คือ "พระยาวังซ้าย" นั่นเอง สมัยรัชกาลที่ 5 ทำหน้าที่เหมือน "เสนานา" ดูแลการขุดเหมืองฝายเกษตรกรรม
![](./m/loading3.gif)
ส่วนเจ้าราชภาติกวงษ์ (เจ้าน้อยดวงทิพ) ผู้มีศักดิ์เป็นปู่ของเจ้ายอดเรือน มีเชื้อสายฝ่ายเจ้ายายทวดคือ "เจ้าแม่บัวคำ" ที่สืบสายมาจาก "เจ้าหลวงคำตัน" เจ้าผู้ครองนครลำพูนองค์ที่ 4 (เป็นโอรสของพระเจ้าบุญมาเมือง เจ้าผู้ครองนครลำพูนองค์ที่ 2) ส่วนสายปู่ทวดคือเจ้าฟ้าสาม เจ้าผู้ครองนครเขมรัฐเชียงตุง ผู้สืบสายสกุลมาจาก “ท้าวน้ำท่วม” (เจ้านำถุม) โอรสองค์กลางของพระญาไชยสงคราม หรือหลานปู่ของพระญามังราย ปฐมกษัตริย์แห่งล้านนา ซึ่งถูกส่งไปปกครองเมืองเขมรัฐเชียงตุง เพื่อผูกสัมพันธ์และขยายวงศ์ในเขตรัฐฉาน ดังปรากฎชัดว่ารัชทายาทของเจ้าฟ้าเชียงตุงใช้นามสกุลว่า “มังราย” จวบจนปัจจุบัน
เจ้ายอดเรือนเกิดในปี 2446เป็นธิดาของ เจ้าน้อยเวียงใจ๋ และเจ้าแว่นแก้ว แต่บิดา-มารดาเสียชีวิตตั้งแต่ท่านยังเล็ก ทำให้ภาระการอบรมเลี้ยงหลานทั้งสามคือ เจ้าหนานเมืองดี เจ้ายอดเรือน และเจ้าน้อยอินนนท์ จึงตกอยู่ในความดูแลของเจ้าราชภาติกวงษ์
![](./m/loading3.gif)
ผู้คนผ่านไปมาที่กาดหนองดอกแถววัดไชยมงคล เห็นป้ายชื่อถนนนี้ แต่น้อยคนนักที่จะรู้ว่ามีที่มาอย่างไรผู้คนผ่านไปมาที่กาดหนองดอกแถววัดไชยมงคล เห็นป้ายชื่อถนนนี้ แต่น้อยคนนักที่จะรู้ว่ามีที่มาอย่างไร
เอกสารลายลักษณ์อักษรที่กล่าวถึงเจ้ายอดเรือนมีไม่มากนัก มีตอนหนึ่งปรากฏอยู่ในจดหมายเหตุ สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้าอัษฎางค์เดชาวุธ กรมหลวงนครราชสีมา เสด็จตรวจราชการมณฑลพายัพ พ.ศ. 2463 (หนังสือ ที่ มร.6ม/14) ได้กราบบังคมทูลพระกรมกิจถวายแด่รัชกาลที่ 6 เรื่องลำพูน ข้อความตอนหนึ่งว่า
![](./m/loading3.gif)
สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้าอัษฎางค์เดชาวุธ กรมหลวงนครราชสีมาสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้าอัษฎางค์เดชาวุธ กรมหลวงนครราชสีมา
“...มีบุตรสาวของเจ้าผู้ครองนครจังหวัดชื่อลำเจียกคนหนึ่ง ซึ่งทำหน้าที่แม่บ้านคล้ายกับเจ้าศรีนวลบุตรสาวเจ้าลำปาง กับมีบุตรสาวคนเล็กอีกคนหนึ่งซึ่งยังสาว ชายาเป็นชายาคนใหม่ เป็นคนสาวเท่ากับบุตรสาวคนเล็ก ดูท่าทางแกออกจะเกณฑ์ให้เป็นเด็กฟังบังคับบัญชา บุตรสาวคนใหญ่คือเจ้าลำเจียกนั้นเสมอ...”
เจ้าลำเจียกเป็นธิดาองค์โตของเจ้าหลวงจักรคำฯ ที่เกิดจากแม่เจ้าขานแก้ว โดยที่เจ้ายอดเรือนเป็นเพื่อนรุ่นน้องร่วมโรงเรียนกับเจ้าลำเจียก แต่มีอายุไล่เลี่ยกับน้องสาวเจ้าลำเจียก ชื่อเจ้าวรรณรา
ด้วยความสนิทสนมชอบพอกัน เมื่อสำเร็จการศึกษาในปี 2458 ขณะที่เจ้ายอดเรือนอายุ 13 ปี เจ้าลำเจียกได้ขออนุญาตเจ้าหลวงจักรคำฯ และเจ้าราชภาติกวงษ์ เพื่อพาเจ้ายอดเรือนมาอยู่ในคุ้มหลวงด้วยกัน
กระทั่งปี 2463 เจ้าหลวงจักรคำฯ ได้สู่ขอเจ้ายอดเรือนจากเจ้าราชภาติกวงษ์เพื่อรับไว้เป็นชายา นำมาสู่คำถามที่มักได้ยินบ่อยๆ ว่า เจ้ายอดเรือนเป็นชายาโดยการเมืองหรือไม่?
เหตุที่เจ้ายอดเรือนอายุยังน้อย ผิวพรรณดี สงบเสงี่ยม ชอบตามเจ้าปู่ไปทำบุญที่วัดไชยมงคล น่าจะเป็นที่ติดตาต้องใจเจ้าหลวงลำพูนอยู่บ้าง ผนวกกับหน้าที่การงานระหว่างเสนาสรรพากรกับเสนาคลัง หรือพระยาวังซ้าย-วังขวา ที่ต่างก็ต้องพึ่งบุญบารมีของกันและกัน ก็เป็นเรื่องที่ชวนคิดไม่น้อย
เจ้ายอดเรือนจึงกลายมาเป็นชายาองค์สุดท้ายของเจ้าหลวงจักรคำฯ โดยมีอายุแตกต่างกันร่วม 30 ปี ช่วงที่เจ้ายอดเรือนมาอยู่ที่คุ้มหลวง ชายาสององค์แรก (เจ้าขานแก้ว-เจ้าแขกแก้ว) ไม่ได้อยู่ในคุ้มแล้ว เหลือแต่เจ้าหญิงส่วนบุญ ผู้เป็นเสาหลัก ท่านผู้นี้เป็นตัวอย่างของสตรีชั้นสูงหัวก้าวหน้าในยุค 70-80 ปีก่อน ที่มีความตื่นตัวด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสนใจในประชาธิปไตย ได้บุกเบิกโรงเรียนสตรีประจำจังหวัดลำพูน และเปิดโรงทอผ้าที่ใต้ถุนคุ้มหลวง (หลังเก่า)
ในขณะที่เจ้ายอดเรือนมีหน้าที่ดูแลด้านอาหารการกิน ภูษาอาภรณ์ให้แก่เจ้าหลวงจักรคำฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบั้นปลายชีวิตของเจ้าหลวงจักรคำฯ ได้ป่วยด้วยโรคไตเรื้อรัง เจ้ายอดเรือนเป็นผู้ปรนนิบัติอยู่เคียงข้างตลอดเวลา 5 เดือนจนถึงวินาทีสิ้นลมปราณ เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2486 เป็นอันยุติบทบาทของเจ้าผู้ครองนครลำพูนองค์สุดท้าย
![](./m/loading3.gif)
เครื่องทรงเต็มยศของเจ้าหลวงจักรคำฯเครื่องทรงเต็มยศของเจ้าหลวงจักรคำฯ
ต่อคำถามที่ว่าทำไมจึงไม่มีชื่อเจ้ายอดเรือนในหนังสือประวัติสายสกุลเจ้านายเมืองลำพูน ที่จัดทำโดยทายาทสายเจ้าแขกแก้วนั้น
ศ.ดร.มณี พยอมยงค์ เคยสรุปไว้ในเวทีเสวนาว่า หนังสือเล่มนั้นเป็นประวัติส่วนตัวของเจ้าแขกแก้วพร้อมญาติวงศ์ จึงปรากฏนามเฉพาะบุตร-ธิดาของเจ้าหลวงจักรคำฯ ที่เกิดจากชายาและหม่อม
ด้วยเหตุที่เจ้ายอดเรือนเป็นชายาองค์เดียว ที่ไม่มีบุตร-ธิดากับเจ้าหลวงจักรคำฯ มีเพียงหลานๆ เท่านั้น จึงไร้ทายาทสืบสกุลที่จะมาเรียกร้องอ้างสิทธิ์ของความเป็นเจ้า
อีกทั้งเจ้าแขกแก้วได้ลาออกจากคุ้มหลวงตั้งแต่ปีพ.ศ. 2459 คณะผู้จัดทำหนังสือก็ไม่ได้อยู่ลำพูน จึงย่อมไม่ทราบว่าเจ้ายอดเรือนมีเชื้อสายเจ้าหลวงคำตันและพระเจ้าบุญมาเมืองผู้สืบเชื้อสายเจ้าเจ็ดตนมาจากพระเจ้ากาวิละเหมือนกัน
เท่านั้นไม่พอ ยังเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของท้าวน้ำท่วมแห่งเขมรัฐเชียงตุง ซึ่งเป็นสายตรงของพระญามังรายอีกด้วย
ชวนให้นึกถึงคำตัดพ้อของ "ท่านอังคาร กัลยาณพงศ์" ที่ว่า "เป็นกวีไม่มีเงินเดือน ยังจะไม่ให้เป็นกันอีก" ไม่ต่างไปจากอุทาหรณ์ของกรณีนี้ ที่พยายามกีดกันให้ "เจ้า" กลายเป็น "ไพร่" เป็นภาพสะท้อนให้เห็นว่าวงการศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่นในบ้านเรานั้นอ่อนแอปวกเปียกมากเพียงใด
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
|
|
|
แจ้งลบกระทู้นี้
อ่าน 7559 |
|
แสดงความคิดเห็น |
โดย โน้ต cmprice
IP: Hide ip
, วันที่ 07 มิ.ย. 58
เวลา 11:55:15
|