| • มาร์คบี้ตั้งคำถามกัมพูชา ดักฟังโทรศัพท์สถานทูต |
|
โพสต์โดย sala , วันที่ 17 ธ.ค. 52 เวลา 10:53:09 IP: Hide ip |
กด like เพื่อติดตามข่าวสารดีๆ
จาก cmprice.com
VVVVVV
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
|
ลิงก์ผู้สนับสนุน
© เนื้อหาข่าว/กระทู้
| “มาร์ค” สวนกลับศาลกัมพูชาตัดสินคดี “ศิวรักษ์”หวังปกป้อง”นักโทษชายแม้ว” ทั้งที่ข้อมูลการบินไม่ได้เป็นความลับเช่นเดียวกับรัฐไทย เชื่อ “ศิวรักษ์"ไม่ได้จัดฉาก ย้อนถามกัมพูชาหากดักฟังโทรศัพท์จริงต้องชี้แจงไม่ให้กระทบภาพลักษณ์ ขณะที่”เทพไท” แขวะเพื่อไทยตัวการจัดฉากตั้งแต่”จิ๋ว-แม้ว”เข้ากัมพูชา ด้าน “กษิต”ออกแถลงการณ์ ไม่เคยสั่งล้วงข้อมูล |
แม้นายศิวรักษ์ ชุติพงษ์ วิศวกรชาวไทยซึ่งถูกทางการกัมพูชาจับกุมและดำเนินคดีในข้อจารกรรมข้อมูล ได้รับพระราชทานอภัยโทษจากกษัตริย์กัมพูชาไปแล้ว แต่ประเด็นข้อวิพากษ์วิจารณ์ว่าเรื่องดังกล่าวเป็นการจัดฉากของพรรคเพื่อไทยร่วมกับผู้นำกัมพูชา เพื่อดิสเครดิตรัฐบาลไทยหรือไม่ยังมีการถกเถียงไม่จบ
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เชื่อว่า กรณีนายศิวรักษ์ ไม่ได้เป็นการจัดฉากของฝ่ายการเมือง เพราะคงไม่มีใครอยากจะเจอกับเหตุการณ์แบบที่เกิดขึ้น และเชื่อว่าไม่มีใครเข้าไปเกี่ยวข้องกับเบื้องหลังเหตุการณ์เรื่องนี้
"ผมเชื่อว่าไม่มีใครอยากเจออย่างที่คุณศิวรักษ์เจอ และไม่เชื่อว่าจะมีใครเข้าไปเกี่ยวข้อง เพราะเท่าที่ดูเจ้าตัวก็ทำหน้าที่ตามปกติ ผมดูแล้วเห็นว่าไม่ได้เป็นความลับ แต่ศาลอาจจะลงโทษเพราะเห็นว่าเป็นอันตรายกับคุณทักษิณ"
ส่วนการที่นายศิวรักษ์จะฟ้องร้องกับกระทรวงการต่างประเทศและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เนื่องจากทำให้เกิดความเสียหายนั้น เป็นสิทธิตามกฎหมายที่สามารถจะดำเนินการได้ ซึ่งเชื่อว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็คงจะสามารถชี้แจงได้อยู่แล้ว
สำหรับกรณีที่นายศิวรักษ์ระบุว่าทางการกัมพูชาได้ดักฟังโทรศัพท์การพูดคุยกับนายคำรพ ปาลวิวัฒน์วิชัย เลขานุการเอกสถานทูตไทยประจำกรุงพนมเปญนั้น หากเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง ทางรัฐบาลกัมพูชาต้องออกมาชี้แจง เพราะกระทบในแง่ภาพลักษณ์ของทางการกัมพูชาเอง
นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า อยากให้ทุกฝ่ายสนับสนุนแนวความคิดของนายกรัฐมนตรีว่าเรื่องนี้ไม่ควรขยายประเด็นสืบความยาวสาวความยืดอีกต่อไป โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทย อย่าฉวยโอกาสใช้เรื่องนี้ขยายประเด็นทางการเมืองอีกต่อไป เพราะที่ผ่านมา พรรคเพื่อไทยและบรรดาลิ่วล้อของนายใหญ่ได้สร้างภาพจนกลายเป็นประเด็นในหน้าสื่อได้ตามแผนที่ต้องการและน่าจะเพียงพอตามเป้าหมายที่นายใหญ่วางไว้แล้ว
สำหรับตัวนายศิวรักษ์เอง ทุกคนก็เข้าใจว่า ไม่ได้เป็นตัวการของการจัดฉากในละครเรื่องนี้ แต่ตกเป็นเหยื่อของสถานการณ์ที่ถูกคนบางกลุ่มใช้เป็นเครื่องมือต่อรองเพื่อหวังประโยชน์โดยที่นายศิวรักษ์ไม่รู้ตัว เพราะภาพที่ปรากฏออกมาหลังการถูกปลดปล่อยจากคุก ตนไม่เคยเห็นผู้ถูกกล่าวหาในข้อหาจารกรรมข้อมูลความลับที่กระทบต่อความมั่นคงของชาติใด ซึ่งเป็นข้อกล่าวหาที่ร้ายแรงสูงสุด ที่ออกจากคุกแล้วกลับมีรถเบนซ์เอสคลาส ที่รัฐบาลกัมพูชาจัดให้ไปรับถึงหน้าคุกเพรย์ซอว์
“หนำซ้ำสมเด็จฯฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ยังเปิดคฤหาสน์ส่วนตัวต้อนรับรับรองด้วยตนเอง อีกทั้งยังมีการพูดคุยลูบหน้าลูบหลังอย่างสนิทสนมเป็นกันเอง ถึงขนาดเรียกแทนตัวเองว่า อา และเรียกนายศิวรักษ์ว่า หลาน ทุกคำ สุดท้ายยังมีไมตรีจิตสั่งลาว่า ยังอนุญาตให้กลับมาทำงานในประเทศกัมพูชาได้อีกด้วย ซึ่งเป็นเรื่องที่ผิดปกติ ที่ไม่เคยพบเคยเห็น ก็ได้พบได้เห็น ว่าจะมีประเทศใดในโลก ที่ปฏิบัติต่อนักโทษหรือผู้ถูกกล่าวหาในข้อหาจารกรรมข้อมูลความลับที่ส่งผล กระทบต่อความมั่นคงของชาตินั้นๆ เช่นนี้ “
ทั้งนี้ เพราะผู้ถูกกล่าวหาในคดีจารกรรมความลับของรัฐบาลต่างๆ มักจะถูกรัฐบาลนั้นๆ เนรเทศหรือขับไล่ออกนอกประเทศโดยเร็วที่สุด และยังถูกขึ้นบัญชีดำห้ามเดินทางเข้าประเทศนั้นๆอีกต่อไป แต่กรณีของนายศิวรักษ์กลับสวนทางกับนานาอารยะประเทศที่ได้ปฏิบัติกัน คนไทยน่าจะคิดได้ว่าเรื่องราวเป็นอย่างไร
ส่วนการที่ ส.ส.พรรคเพื่อไทยพยายามออกมาปฏิเสธแก้ต่างให้พ.ต.ท.ทักษิณ และพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานส.ส.พรรคเพื่อไทยว่า ไม่ได้อยู่เบื้องหลังการจัดฉากละครเรื่องนี้ เพราะไม่สามารถที่จะสั่งให้นายคำรพ ในกัมพูชาให้โทร.ไปหานายศิวรักษ์ได้ โดยพยายามโยงให้เห็นว่า คนที่สั่งการนายคำรบ คือ นายกษิต และพาดพิงมายัง นายกรัฐมนตรีด้วยว่า น่าจะรับรู้ด้วยนั้น ตนขอชี้แจงว่า พรรคเพื่อไทยกำลังปฏิเสธเรื่องนี้เข้าลักษณะขว้างงูไม่พ้นคอ เพราะละครเรื่องนี้มีการจัดฉากมาตามลำดับเพื่อให้สังคมไทยและโลกเห็นว่า รัฐบาลทำอะไรไม่ได้แต่กำลังมีพระเอกขี่ม้าขาวมาช่วย
และถึงวันนี้พระเอกคนนั้นก็ได้ตกม้าตายไปแล้ว เพราะผลโพลล์สำรวจความเห็นของคนไทยส่วนใหญ่ในชาติกว่า 60 % เห็นตรงกันว่า กรณีนี้เป็นการจัดฉากเพื่อหวังผลประโยชน์ทางการเมืองของคนที่มีผลประโยชน์ร่วมกัน
ขณะที่พรรคเพื่อไทยออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลและนายกรัฐมนตรีแสดงความรับผิดชอบด้วยการขอโทษและเยียวยาครอบครัวนายศิวรักษ์นั้น ตนคิดว่า พรรคเพื่อไทยน่าจะกินยาผิดขนานที่เสนอข้อเรียกร้องผิดที่ ผิดทาง เพราะต้องกลับไปดูต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดว่าเป็นมาอย่างไร ไม่ใช่จับแพะชนแกะ ตัดตอนเล่าเรื่องนี้ในบางช่วง บางตอนแล้วเอามาขยายผลทางการเมือง เพราะถ้าพล.อ.ชวลิต ไม่เดินทางไปพบสมเด็จฯฮุน เซน และพ.ต.ท.ทักษิณไม่เดินทางไปรับตำแหน่งที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจให้รัฐบาลกัมพูชาแล้ว เรื่องเหล่านี้ก็คงไม่เกิดขึ้น
ดังนั้น ต้นเหตุที่แท้จริงจึงอยู่ที่บุคคลทั้งสอง เพราะที่ไม่มีหน้าที่ใดๆในรัฐบาลไทยหรือแม้แต่ในกระทรวงการต่างประเทศของไทย และถ้าจะฟ้องเรียกค่าเสียหายตามที่เปิดประเด็นแถลงข่าวมานั้น ตนขอแนะนำว่า ให้ไปฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากพล.อ.ชวลิตและพ.ต.ท.ทักษิณ จะเหมาะสมที่สุดเพราะเป็นที่มาของต้นเหตุทั้งหมด
นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งอยู่ระหว่างปฏิบัติภารกิจในต่างประเทศ ได้ออกแถลงการณ์แสดงความยินดีกับนายศิวรักษ์ และครอบครัว ที่ได้รับอิสรภาพจากประเทศกัมพูชา และเดินทางกลับประเทศไทยโดยสวัสดิภาพ โดยยืนยันว่า ที่ผ่านมาได้ดำเนินการทางการทูตให้การช่วยเหลืออย่างดีที่สุด และเป็นกรณีพิเศษทุกขั้นตอน
นอกจากนี้ ตนยังเคารพการตัดสินใจของครอบครัวนายศิวรักษ์ ในการเปลี่ยนตัวทนาย และเปิดทางพรรคเพื่อไทยให้การช่วยเหลือ โดยไม่เคยกล่าวหาว่าเป็นการจัดฉาก พร้อมปฏิเสธว่า ไม่เคยสั่งการให้นายคำรพ ไปจารกรรมตารางการบิน และเชื่อว่านายคำรพปฏิบัติตามหน้าที่ปกติเพื่อหาข้อมูลยืนยันการเดินทางเข้ากัมพูชาของ พ.ต.ท.ทักษิณ ในฐานะผู้ร้ายข้ามแดน ซึ่งนายคำรพก็รู้สึกเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ทั้งนี้ นายกษิต ย้ำว่า ไม่มีนโยบายให้นายคำรบออกมาชี้แจงต่อสื่อมวลชนด้วยตนเอง เพราะทั้งนายคำรบ และนายศิวรักษ์ ก็เป็นเพียงเหยื่อทางการเมืองเท่านั้น
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง กล่าวถึง กระแสข่าวที่ นายศิวรักษ์ และมารดา จะฟ้องกระทรวงต่างประเทศและนายคำรพ ที่ทำให้ครอบครัวได้รับความเสียหายจากกรณีดังกล่าวว่า ก็เป็นสิทธิ์ ที่จะใช้สิทธิได้ตามกฎหมาย ส่วนผลคดีจะเป็นอย่างไรนั้นในทุกเรื่องก็จะเกิดความชัดเจนเอง
ส่วนกรณีที่นายศิวรักษ์ ออกมายอมรับว่า ทางกัมพูชาดักฟังโทรศัพท์ในช่วงที่พูดกับนายคำรบ นั้น นายสุเทพ กล่าวว่า ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะบ้านเราก็ยังมีการดักฟังอยู่จากขบวนการที่จะดักฟัง ซึ่งนายสุเทพยอมรับด้วยว่า ขนาดตนเองก็ยังถูกดักฟังทุกวัน
ขณะที่ความเป็นไปได้ในการฟื้นความสัมพันธ์กับกัมพูชาตามข้อเสนอ 3 ข้อของนายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี นั้น ตนก็ต้องเห็นตามนั้น ซึ่งทุกอย่างก็ต้องมาดูว่าทั้งหมดเริ่มต้นมาจากเรื่องอะไร และก็ต้องแก้ที่เรื่องนั้น โดยถ้าหากกัมพูชายังไม่ถอนการเป็นที่ปรึกษาของ พ.ต.ท.ทักษิณ นั่นก็หมายความว่า ความสัมพันธ์ระหว่างไทยและ กัมพูชา ก็ต้องเป็นไปอย่างนี้ก่อน
นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ปฏิเสธว่า ไม่มีผู้ใหญ่ในกระทรวงการต่างประเทศสั่งการให้นายคำรบ โทรไปสอบถามข้อมูลตารางการบินของ พ.ต.ท.ทักษิณ จากนายศิวรักษ์ เนื่องจากตารางการบินเป็นข้อมูลเปิด และนายคำรบก็ปฏิบัติหน้าที่ในกรอบของนักการทูต โดยหากฝ่ายค้านมีข้อมูลเบอร์โทรศัพท์ของข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่โทร.ไปสั่งการตามที่กล่าวอ้างเท่านั้น ก็ขอให้เปิดเผยข้อมูลออกมา ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศพร้อมชี้แจงในทุกประเด็น
ส่วนกรณีที่มีกระแสข่าวว่า นายคำรพจะออกมาชี้แจงทุกเรื่องด้วยตนเองนั้น เป็นสิทธิ์ของนายคำรพ เพราะกระทรวงการต่างประเทศไม่ได้ห้ามหรือให้การสนับสนุน เนื่องจากที่ผ่านมาได้มีการดำเนินการตามขั้นตอนอย่างครบถ้วนแล้ว
ทั้งนี้อยากเรียกร้องให้ฝ่ายค้านยุตินำเรื่องของนายศิวรักษ์มาต่อยอดเพื่อหาผลประโยชน์ทางการเมือง หรือบิดเบือนประเด็น เพื่อโยนบาปให้นายคำรบ
ขณะที่นายต่อพงษ์ ไชยสาส์น ส.ส.อุดรธานี พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการต่างประเทศ สภาผู้แทนราษฎร ได้ประชุมพิจารณากรณีนายศิวรักษ์ ที่ถูกทางการกัมพูชาจับกุมดำเนินคดี โดยได้เชิญรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และนายคำรพมาให้ข้อมูล แต่เมื่อถึงเวลานัดหมายนายกษิต ได้ส่งนายอิศร ปกมนตรี เอกอัครราชทูตประจำกระทรวง และ น.ส.มธุรสพจนา อิทธิรงค์ รองอธิบดีกรมการกงสุล เข้าชี้แจงแทน
นายต่อพงษ์ เปิดเผยว่า กรรมาธิการต้องการทราบข้อเท็จจริง เนื่องจากกรณีดังกล่าวส่งผลต่อภาพลักษณ์ของประเทศไทยและเพื่อให้ความเป็นธรรมกับนายศิวรักษ์ ส่วนการที่นายกษิต ไม่เข้ามาชี้แจงนั้น ถือเป็นเรื่องที่ควรถูกตำหนิ เพราะไม่ให้ความร่วมมือในกระบวนการตรวจสอบของรัฐสภา ทั้งที่นายกรัฐมนตรี เคยย้ำ ครม.ให้ความสำคัญกับรัฐสภา ดังนั้นนายกรัฐมนตรีควรปรับ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศคนนี้ออกจาก ครม. เพราะเป็นจุดอ่อนของรัฐบาล
“ขอยืนยันว่าการตรวจสอบครั้งนี้กรรมาธิการไม่ได้รับลูกจากฝ่ายค้าน หรือจัดฉากขึ้น แต่พิจารณาจากเหตุการณ์จริงที่ปรากฏ อย่างไรตามเชื่อว่าเรื่องอย่างนี้คงไม่มีแม่คนไหนอยากเอาชีวิตลูกตัวเองมาเสี่ยง”
ที่มา: http://www.prachatouch.co.th/web/news_detail.asp?id=7603
|
|
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
|
|
|
แจ้งลบกระทู้นี้
อ่าน 1368 |
|
| แสดงความคิดเห็น |
โดย sala
IP: Hide ip
, วันที่ 17 ธ.ค. 52
เวลา 10:53:09
|
