ลิงก์ผู้สนับสนุน
© เนื้อหาข่าว/กระทู้
เรื่องคดียึดทรัพย์ 76000ล้านของ ทักษิณ ชินวัตร เหลือเวลาอีกไม่ถึงเดือน ศาลอาญาแผนกคดีทางการเมือง ก็จะพิพากษาแล้ว กลุ่มผู้สนับสนุนและผ็ต่อต้าน ทักษิณ ชินวัตร ต่างก็เอาเหตุผลมาหักล้างกัน แต่ยังไม่พบว่า ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเอาข้อกล่าวหาทั้งหมด มานำเสนอเพื่อให้สาธารณชนได้รับรู้ข้อมูลทั้งหมดทั้งสิ้น
จึงขอนำข้อมูลถึงเหตุผลตามคำร้อง ขอให้ศาลยึดทรัพย์จำนวนดังกล่าว ซึ่งมีบางส่วนขอให้ข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อความเข้าใจเรื่องราวให้ดีขึ้น
ตามคำร้องสรุปว่า เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2551 คตส.มีหนังสือถึงอัยการสูงสุดแจ้งว่าได้มีมติเป็นเอกฉันท์ว่าพ.ต.ท.ทักษิณ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐตาม พ.ร.บ.ปปช. 2542 และเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมายมีอำนาจหน้าที่ตาม พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 ได้กระทำผิดกฏหมายดังนี้
1.ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ 2544-มีนาคม 2548 ได้ปกปิดการถือหุ้นบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) จำนวน 1,149,490,150 หุ้น คิดเป็นร้อยละ 48 ของจำนวนหุ้นทั้งหมดโดยที่ผู้ถูกกล่าวหาและคู่สมรส (คุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภริยา) เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่แท้จริง แต่ใช้ชื่อ นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย ถือหุ้นแทนจำนวน 458,550,000 หุ้น น.ส.พินทองทา ชินวัตร บุตรสาว ถือหุ้นแทนจำนวน 604,600,000 หุ้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาว ถือหุ้นแทนจำนวน 20,000,000 หุ้น และนายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ พี่ชายบุญธรรมคุณหญิงพจมาน ถือหุ้นแทนจำนวน 336,340,150 หุ้น โดยที่บริษัท ชินคอร์ป เป็นบริษัทได้รับสัมปทานกิจการโทรคมนาจากรัฐ ซึ่งเป็นการฝ่าผืนบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540, พ.ร.บ.การจัดการหุ้นส่วนและหุ้นของรัฐมนตรี พ.ศ.2543 และ พ.ร.บ.ว่าด้วย ป.ป.ช. พ.ศ.2542 ม.32, 33 และ 100 ซึ่งมีความผิดอาญา ม.119 และ 122
ข้อหานี้หากศาลพิพากษาว่าผิดจริงตามข้อกล่าวหา นอกจากจะโยงไปถึงข้อ2 แล้ว ยังมีโทษจำคุกอีกด้วย
2.เอื้อประโยชน์ชินและบริษัทในเครือ
ในระหว่างที่ ทักษิณ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ได้ปฏิบัติหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ สั่งการ มอบนโยบาย รวมทั้งเจ้าหน้าที่ของรัฐและหน่วยงานของรัฐภายใต้บังคับบัญชา หรือกำกับดูแลของผู้ถูกล่าวหากระทำการที่เป็นการเอื้อประโยชน์แก่บริษัท ชินคอร์ปฯ และบริษัทในเครือเป็นจำนวนมาก คือ
2.1.แปลงค่าสัมปทานเป็นค่าภาษีสรรพสามิต โดยมีการตรา พ.ร.ก.แก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.พิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต พ.ศ.2527 พ.ศ.2546 ซึ่งกรณีดังกล่าวทำให้มีการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตจากกิจการโทรคมนาคม โดยให้นำค่าสัมปทานมาหักกับภาษีสรรพสามิต อันเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับกิจการของทักษิณและพวกพ้อง
ตรงนี้ขออธิบายเพิ่มเติม ว่าการแก้กฎหมายนี้ ทำให้ เอไอเอสได้เปรียบผู้ประกอบการรายอื่นคือ
เอไอเอส ได้รับสัมปทานจากองค์การโทรศัพท์ หมายความว่า จ่ายค่าสัมปทานให้องค์การโทรศัพท์โดยใช้เครือข่ายขององค์การโทรศัพท์ในการรับส่งสัญาณมือถือ
ดีแทค ได้รับสัมปทานจากการสื่อสาร หมายความว่า จ่ายค่าสัมปทานให้กับการสื่อสารฯ โดยใช้เครือข่ายของการสื่อสารฯ
ค่าสัมปทานที่เอไอเอส จ่ายให้กับ องค์การโทรศัพท์ ตลอดอายุสัมปทาน สูงกว่าที่ ดีแทคจ่ายให้กับ การสื่อสารฯ โดยคณะกรรมการและรัฐบาลสมัยนั้นต่างเล็งเห็นข้อได้เปรียบเสียเปรียบกันดังนี้
...เรื่องนี้เป็นเรื่องของการโทรศัพท์เพื่อติดต่อสื่อสารกัน นั่นหมายความว่า หากคนที่ใช้ดีแทคจะโทรศัพท์หาเพื่อน หรือโทรเข้าบ้าน ก็ต้องส่งสัญญาณจะเครือข่ายของตนเองเข้าไปยังเครือข่ายขององค์การโทรศัพท์ ตรงนี้แหละ ดีแทคต้องเสียค่าบริการให้กับองค์การโทรศัพท์เพิ่ม แต่ เอไอเอส ใช้เครือข่ายองค์การโทรศัพท์อยู่แล้ว จึงไม่ต้องเสีย ส่วนนี้เพิ่ม หรือจะเรียกว่า ดีแทคเสีย2เด้งก็คงไม่ผิด
....การขยายเครือข่าย เอไอ เอส ตั้งเสา1 ต้น ดีแทค ต้องตั้งเสาถึง3-4ต้นจึงจะครอบคลุมพื้นที่ได้เท่ากัน นั่นหมายความว่า ดีแทคมีต้นทุนในการขยายเครือข่ายสูงกว่า
สรุปเหตุผล ที่ เอไอเอส จ่ายค่าสัมปทานให้องค์การโทรศัพท์สูงกว่า ที่ ดีแทค จ่ายค่าสัมปทานให้การสื่อสารฯเพราะว่า ดีแทค ยังต้องมีภาระที่ต้องจ่ายค่าเชื่อมสัญญาณให้กับองค์การโทรศัพท์ กับต้นทุนในการขยายเครือข่ายที่สูงกว่า
เมื่อ ทักษิณ แก้กฎหมาย ให้แปลงค่าสัมปทานเป็นภาษีสรรพสามิต ก็เหมือนกับ ทั้งดีแทค และเอไอเอส มาจ่ายค่าต๋งให้รัฐเท่ากัน นั่นหมายความว่า ในทุกขณะที่ประกอบกิจการ ดีแทคจะมีต้นทุนสูงกว่า เอไอเอส เสมอ
อีกทั้งยังมีการกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิตเพิ่มสูงขึ้นเป็นร้อยละ 20 – 50 ทำให้ผู้ประกอบการรายใหม่ต้องรับภาระมากขึ้น ในขณะที่ผู้ประกอบการรายเดิมมีสิทธินำค่าสัมปทานไปหักจากภาษีได้ จึงเป็นกีดกันระบบโทรคมนาคมเสรีอย่างแท้จริง ทำให้ไม่มีผู้ประกอบการรายใหม่เข้ามาประกอบกิจการแข่งขันกับบริษัท เอไอเอส
2.2.แก้ไขสัญญาอนุญาตให้ดำเนินกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่(CELLULAR MOBILE TELEPHONE) ลงวันที่ 27 มีนาคม 2533 (ครั้งที่ 6 ) เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2544 ปรับลดอัตราส่วนแบ่งรายได้จากการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบใช้บัตรเติมเงินให้กับบริษัท เอไอเอส ซึ่งจากการจัดทำข้อตกลงต่อท้ายสัญญา (ครั้งที่ 6 )ดังกล่าวส่งผลให้บริษัทเอไอเอส จ่ายส่วนแบ่งรายได้จากการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบใช้บัตรจ่ายเงินล่วงหน้า ให้แก่ บริษัท ทศท ในอัตรา 20 เปอร์เซ็นต์ คงที่ตลอดอายุสัญญาสัมปทานตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2544 จากเดิมที่ต้องจ่ายตามสัญญาอนุญาตให้ดำเนินกิจการบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่เป็นแบบก้าวหน้าในอัตรา 25 เปอร์เซ็นต์ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2543-30 กันยายน 2548 และในอัตรา 30 เปอร์เซ็นต์ ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2548-30 กันยายน 2558 วันสิ้นสุดสัญญาสัมปทาน
2.3.กรณีการแก้ไขสัญญาอนุญาตให้ดำเนินกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่ (CELLULAR MOBILE TELEPHONE) ฉบับลงวันที่ 27 มีนาคม 2533 (ครั้งที่ 7) เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2545 เพื่ออนุญาตให้ใช้เครือข่ายร่วม (ROAMING) และให้หักค่าใช้จ่ายจากรายรับ และกรณีการปรับลดอัตราค่าใช้เครือข่ายรวม เป็นการเอื้อประโยชน์แก่บริษัท ชินคอร์ปฯ และบริษัท เอไอเอส การแก้ไขเพิ่มเติมสัญญาที่ให้บริษัท เอไอเอส เข้าไปใช้เครือข่ายร่วมผู้ให้บริการรายอื่นมีผลต่อการจ่ายเงินผลประโยชน์ที่บริษัท เอไอเอส ต้องจ่ายให้กับ บริษัท ทศท. และบริษัท กสท.ไม่น้อยกว่า 18,970,579,711 บาท กลายเป็น บริษัท เอไอเอส จะได้รับผลประโยชน์ที่ไม่ต้องจ่ายเงินจำนวนดังกล่าว
ผลจากการแก้กฎหมายดังที่กล่าวมา เป็นผลให้ กิจการของ เอไอเอส อยู่ในสถานะได้เปรียบคู่แข่งอย่างสูง เป็นผลให้ หุ้นของกลุ่มชินฯ ที่อยู่ในมือของทักษิณและผู้ถือแทนมีมูลค่าจาก 2 หมื่นล้านเศษ ขึ้นมาเป็นเจ็ดหมื่นล้านเมื่อแก้กฏหมายเปลี่ยนแปลงสัดส่วนผู้ถือหุ้นต่างประเทศจาก25% เป็นไม่เกิน50% ซึ่งเป็นกฏหมายฉบับสุดท้ายที่ออกมามีผลดีต่อกิจการของทักษิณเอง โดยบังคับใช้เมื่อ 21 มกราคม 2549 และหลังจากนั้น2วันคือ 23 มกราคม2549 ทักษิณก็ขายหุ้น จำนวน 48%ให้กับต่างชาติ คือ เทมาเส็ก แห่งสิงคโปร
2.4.อนุมัติ ส่งเสริม สนับสนุนธุรกิจดาวเทียมตามสัญญาดำเนินกิจการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศโดยมิชอบหลายกรณี ได้แก่ การอนุมัติโครงการดาวเทียม IP STAR, การอนุมัติแก้ไขสัญญาสัมปทาน ครั้งที่ 5 วันที่ 27 ตุลาคม 2547 ลดสัดส่วนการถือหุ้นของบริษัทชินคอร์ปฯ ในบริษัท ชินแซทเทิลไลท์ ที่เป็นผู้ขออนุมัติสร้างและส่งดาวเทียมไทคม และการอนุมัติให้ใช้เงินค่าสินไหมทดแทนของดาวเทียมไทคม 3 จำนวน 6.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ไปเช่าช่องสัญญาณต่างประเทศ อันเป็นการเอื้อประโยชน์กับบริษัท ชินคอร์ป และบริษัท ชินแซท
2.5.กรณีอนุมัติให้รัฐบาลสหภาพพม่ากู้เงินจากธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (เอ็กซิมแบงก์) เพื่อนำไปซื้อสินค้าและบริการของบริษัท ชินแซท โดยเฉพาะ ซึ่งครั้งแรกทักษิณได้สั่งการเห็นชอบให้เอ็กซิมแบงค์ให้วงเงินก็ 3,000 ล้านบาทแก่รัฐบาลสหภาพพม่า แล้วต่อมาได้สั่งการเห็นชอบเพิ่มวงเงินกู้อีก 1,000 ล้านบาท รวมเป็นเงิน 4,000 ล้านบาท สำหรับโครงการพัฒนาระบบโทรคมนาคมของสหภาพพม่า โดยให้กู้ในอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าต้นทุน รวมทั้งให้ขยายระยะเวลาปลอดการชำระหนี้ การจ่ายเงินต้นจาก 2 ปี เป็น 5 ปี เพื่อประโยชน์ของบริษัท ชินแซท ที่ทักษิณและครอบครัวชินวัตรกับพวกมีผลประโยชน์ถือหุ้นอยู่ ในการให้ได้รับงานจ้างพัฒนาระบบโทรคมนาคมจากรัฐบาลสหภาพพม่า
ทั้งหมดนี้คือ ข้อกล่าวหาที่จะยึดทรัพย์จำนวน 76.000ล้านเศษ ของทักษิณ แต่ละท่านจะมีความเห็นว่าควรหรือไม่อย่างไรก็สุดแล้วแต่จะพิจารณา
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
|