กด like เพื่อติดตามข่าวสารดีๆ จาก cmprice.com VVVVVV
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
ลิงก์ผู้สนับสนุน
© เนื้อหาข่าว/กระทู้
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รองเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจส่วนรวมรับทราบตัวเลขการรายงานภาวะว่างงานประชากรไทยในปี 50 จำนวน 1.2% ของวัยแรงงาน หรือกว่า 4 แสนราย ซึ่งเป็นตัวเลขต่ำสุดในประวัติศาสตร์ จากปกติที่มีตัวเลขเฉลี่ยปีละ 1.5% หรือ 5-6 แสนราย ซึ่งเป็นสัญญาณดีของเศรษฐกิจไทยที่ประชาชนมีรายได้ในการใช้จ่าย
ขณะเดียวกันในปี 51 หากรัฐบาลชุดใหม่เร่งรัดนโยบายลงทุนทั้งรถไฟฟ้า, เซาเทิร์นซีบอร์ด เชื่อว่าเอกชนจะมีโครงการตามมาภายหลัง และอาจทำให้ตัวเลขว่างงานไทยต่ำลงกว่าอีก
"แม้ว่าช่วงปี 50 จะมีกระแสข่าวการปิดโรงงานจำนวนมากโดยเฉพาะสิ่งทอ ซึ่งสวนทางกับตัวเลขว่างงานที่ต่ำสุดในประวัติศาสตร์ แต่รมว.แรงงาน รายงานว่าปีที่ผ่านมามีโรงงานปิด ประมาณ 2,000 แห่ง แต่มีโรงงานเปิดกว่า 4,000 แห่ง จนมีการจ้างงานเพิ่ม ส่วนใหญ่เป็นอุตสาห กรรมอาหาร อิเล็กทรอนิกส์ เฟอร์นิเจอร์ และ ปิโตรเคมี เป็นต้น"
สำหรับภาพรวมการจ้างงานของสำนักงานสถิติแห่งชาติในภาคเกษตรมีกว่า 14 ล้านคน นอกภาคเกษตรกรรมมีกว่า 22 ล้านคน โดยแรงงานภาคการผลิตมากสุด เกือบ 6 ล้านคน รองลงมา ขายส่ง ขายปลีก ซ่อมแซมยานยนต์และเครื่องใช้ 5.5 ล้านคน, โรงแรมและภัตตาคาร 2.4 ล้านคน และก่อสร้าง 2 ล้านคน
นายโชติชัย สุวรรณาภรณ์ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนฯ ประเมินว่าในปี 50 เศรษฐกิจขยายตัวไม่ต่ำกว่า 4.5% และ 51 ไม่ต่ำกว่า 4-5% เนื่องจากการลงทุนภาครัฐ และเอกชนขยายตัวได้ดีขึ้นในครึ่งหลังของปี 50 แต่ปัจจัยเสี่ยงเศรษฐกิจที่ยังเป็นห่วงความไม่แน่นอนทางการเมือง ราคาน้ำมันและเศรษฐกิจของโลก
ดังนั้นนายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.อุตสาหกรรม ในฐานะประธานประชุมเห็นว่าประเทศไทยต้องสร้างความเข้มแข็งเศรษฐกิจในประเทศเป็นหลัก โดยรัฐบาลใหม่ควรให้ความสำคัญกับการลงทุนให้มาก เพื่อให้เกิดการจ้างงาน เพราะการส่งออกในปี 51 คงจะไม่ดีเหมือนปี 50
ขณะเดียวกัน รมว.คลังได้ให้ความเห็นในที่ประชุมว่าช่วง 20 ปีที่ผ่านมาไม่เคยเห็นหน่วยงานที่พยากรณ์เศรษฐกิจทุกสำนักประเมินเศรษฐ กิจในแง่ร้ายตลอด ซึ่งก็มีช่วงนี้เท่านั้น แต่ตัวเลขจีดีพีที่ออกมาก็ไม่ถือว่าเลวร้ายอย่างที่คาดการณ์ไว้
"ทั้งหมดนี้จะรายงานให้ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี รับทราบในวันที่ 17 ม.ค. 51 เช่นเรื่องผลการดูแลค่าเงินบาทและอัตราแลกเปลี่ยน, การจัดตั้งกองทุนช่วยเหลือวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม, การสร้างความเชื่อมั่นต่อการลงทุนในประเทศ, การส่งเสริมนำเงินไปลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ต่างประเทศ, การแก้ปัญหาแรงงานที่เกิดจากการปิดตัวของกิจการอันเนื่องมาจากการแข็งค่าของเงินบาท เป็นต้น ซึ่งโดยรวมถือว่าเป็นที่น่าพอใจอย่างมาก"
นายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธาน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า นายโฆสิตขอให้ภาคเอกชนช่วยกันสรุปสภาพเศรษฐกิจของปีที่ผ่านมาและทิศทางข้างหน้า ซึ่งส่วนใหญ่เห็นปี 51 เศรษฐกิจอยู่ที่ 4-5% โดยดีกว่าปี 50 เนื่องจากปี 51 ได้เริ่มซื้อที่ดิน และสร้างโรงงานจากอุตสาหกรรมหลังได้รับอนุมัติส่งเสริม การลงทุนในปี 50 จำนวน 600,000 ล้านบาท
ส่วนปัจจัยลบคือภาคเอกชนเป็นห่วงปัญหาการถดถอยของเศรษฐกิจโลก รวมถึงเรื่องซับไพร์มของประเทศ สหรัฐอเมริกา ที่ไม่รู้ว่าจะขยายวงกว้างไปเท่าใด ขณะที่ภายในประเทศไทยทางผู้บริโภคยังไม่มีความมั่นใจเกี่ยวกับราคาสินค้าว่าจะเพิ่มขึ้นขนาดไหน
ข้อมูลจาก
ภาพประกอบทางอินเทอร์เน็ต
ข่าวจากกระปุกดอทคอม
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
|
|
|