• ตะลึง!สนามยิงเป้าบินกกท.หัวหมากถุงยางเกลื่อน |
โพสต์โดย กรรมกรข่าว , วันที่ 13 พ.ค. 51 เวลา 10:06:30 IP: Hide ip |
กด like เพื่อติดตามข่าวสารดีๆ จาก cmprice.com VVVVVV
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
ลิงก์ผู้สนับสนุน
© เนื้อหาข่าว/กระทู้
ตะลึง!สนามยิงเป้าบินกกท.หัวหมาก ถุงยางอนามัยเกลื่อน นักกีฬาแฉทุกเย็นมีกลุ่มเกย์นับสิบคนมามั่วสุม เผยก่อนซ้อมต้องแจ้งเจ้าหน้าที่มาเก็บเหตุทำลายสมาธิ ด้าน รมช.ศึกษาฯ สั่งคุมเข้มข้าราชการพร้อมคุมเข้มนักศึกษารับจ๊อบ
เกิดเรื่องราวฉาวโฉ่ขึ้นในสนามกีฬาการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) หัวหมาก
เมื่อนักกีฬาออกมาโวยว่าต้องเสียสมาธิในการฝึกซ้อมกีฬา เนื่องจากมีกลุ่มคนเข้าไปมั่วสุมทางเพศทิ้งถุงยางอนามัยใช้แล้วไว้กลาดเกลื่อน จนเป็นที่อิดหนาระอาใจของบรรดานักกีฬาและผู้ฝึกสอนเป็นอย่างยิ่ง เรื่องดังกล่าวเปิดเผยขึ้นหลังจาก "คม ชัด ลึก" ได้รับการร้องเรียนจากนักกีฬายิงเป้าบินรายหนึ่งว่า ที่สนามยิงเป้าบินของสมาคมยิงเป้าบินแห่งประเทศไทย ที่อยู่ในการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) หัวหมาก ติดกับสวนสุขภาพ มีกลุ่มเกย์ หรือชายรักชายมั่วสุมทางเพศกันทุกคืน และมักทิ้งถุงยางอนามัยที่ใช้แล้วเกลื่อนทั่วพื้นสนาม จนเป็นที่อิดหนาระอาใจของนักกีฬาที่ต้องใช้พื้นที่ดังกล่าวในการฝึกซ้อม
ผู้สื่อข่าวเดินทางไปตรวจสอบตามคำร้องเรียน พบว่าบริเวณสระน้ำซึ่งอยู่ติดกับสนามยิงเป้าบิน มีถุงยางอนามัยลอยฟ่องอยู่ข้างขอบสระ
โดยมีปลาจำนวนมากรุมกัดกินถุงยางอนามัยดังกล่าวอยู่ นอกจากนี้ที่ข้างต้นโพธิ์ใหญ่ติดกับฐานปล่อยเป้าบิน ก็มีถุงยางอนามัยใช้แล้วจำนวนมากทิ้งอยู่กลาดเกลื่อนเช่นกัน บางชิ้นยังมีสภาพใหม่บ่งบอกว่าเพิ่งผ่านการใช้งานมาไม่นานนัก นักกีฬายิงเป้าบินรายหนึ่ง เปิดเผยว่า ทุกเย็นหลังจากที่นักกีฬาซ้อมยิงเป้าบินเสร็จแล้ว จะมีเกย์กลุ่มใหญ่ประมาณ 10-15 คนมาชุมนุมกัน บ้างก็มานั่งเล่นบนสะพานริมสระน้ำ บางคนก็ไปเดินเล่นที่สวนสุขภาพที่อยู่ติดกัน และมักส่งเสียงดังรบกวนคนอื่น เจ้าหน้าที่สนามพยายามไล่ก็ไม่ยอมไป พอเช้ามาเจ้าหน้าที่สนามไปทำความสะอาดพบถุงยางอนามัยใช้แล้วทิ้งอยู่กลาดเกลื่อนเป็นประจำทุกวัน บางครั้งระหว่างซ้อมก็เหยียบถุงยางอนามัยทำให้เสียสมาธิเป็นอย่างยิ่ง จึงอยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งแก้ปัญหาให้ด้วย
|
|
|
ด้านนางวีรวรรณ พจนวรพงษ์ ผู้อำนายการฝ่ายสิทธิประโยชน์ ที่กำกับดูแลอาคารสถานที่ของ กกท.เปิดเผยว่า
สนามกีฬายิงเป้าบินอยู่ในการดูแลของสมาคมยิงเป้าบินแห่งประเทศไทย ซึ่งบางครั้งอาจดูแลไม่ทั่วถึง หลังจากนี้จะให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเข้าไปเดินตรวจบริเวณสนามยิงเป้าบินให้มากขึ้น และจะขุดสระน้ำให้กว้างเพื่อไม่ให้บุคคลภายนอกข้ามไปมาระหว่างสวนสุขภาพกับสนามยิงเป้าบิน ซึ่งเดิมเป็นที่ปกคลุมไปด้วยต้นไม้จนกลายเป็นที่ลับตาคน "นอกจากพื้นที่ด้านข้างสนามยิงเป้าบินแล้ว บริเวณใต้ถุนสนามราชมังคลากีฬาสถานก็เป็นอีกสถานที่ที่มีการมั่วสุมทางเพศเช่นกัน ซึ่งได้กำชับให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคอยตรวจสอบไม่ให้มีใครเข้าไปในพื้นที่ดังกล่าวหลังเวลา 18.00 น. ซึ่งหากใครฝ่าฝืนจะเอาผิดตามกฎหมายข้อหาบุกรุกทันที" นางวีรวรรณกล่าว
ส่วนกรณีข้าราชการ สาวออฟฟิศ รวมถึงนักศึกษา แห่ลงอ่างขายบริการทางเพศเพื่อต่อสู้กับสภาวะเศรษฐกิจนั้น
นายพงศกร อรรณนพพร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า สาเหตุที่ทำให้หญิงสาวหันมาขายบริการทางเพศเพิ่มขึ้นนั้น เกิดจากค่าครองชีพที่สูงขึ้น ซึ่งรัฐบาลจะต้องหารือกันในการกำหนดแนวทางในการเพิ่มรายได้ให้ประชาชนควบคู่ไปกับการลดรายจ่าย เบื้องต้นจะกำชับให้หน่วยงานราชการสอดส่องดูแลข้าราชการในสังกัดอย่างใกล้ชิด รวมทั้งจะขอความร่วมมือไปยังสถานศึกษาต่างๆ ให้เข้มงวดกวดขันนักศึกษาเพื่อหาทางแก้ไขปัญหาดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ในเรื่องของมาตรการลงโทษนักศึกษาที่ขายบริการทางเพศนั้นยังไม่ได้คิดถึงขั้นนั้น
ขณะที่นายยุรนันท์ ภมรมนตรี ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวถึงกรณีที่ รศ.สมพงษ์ จิตระดับ อาจารย์ประจำคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุว่า
สาเหตุส่วนหนึ่งที่ทำให้นักศึกษาต้องขายบริการทางเพศเกิดจากภาระทางการศึกษาที่เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 30 นั้น ว่าไม่เป็นความจริง เพราะในปัจจุบันนักศึกษาไม่ได้ทำไซด์ไลน์ร้อยเปอร์เซ็นต์ ยังมีเด็กที่ไขว่คว้าทำอาชีพอื่นและประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน ส่วนกลุ่มที่ทำเอาสาเหตุเรื่องค่าครองชีพมาอ้างมากกว่า
"ค่านิยมฟุ้งเฟ้อเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้นักศึกษาต้องไปทำไซด์ไลน์ ผมไม่ได้ประณามว่ากลุ่มที่ทำเลวจนให้อภัยไม่ได้ แต่อยากให้คนที่ทำคำนึงถึงกฎของสังคมและกฎหมายด้วย ที่ผ่านมากระทรวงศึกษาฯ ไม่สามารถควบคุมนักศึกษาได้ตลอด 24 ชั่วโมง แต่มีนโยบายในการเพิ่มคุณภาพการศึกษา มีการจัดให้เรียนฟรี มีทุนการศึกษาสำหรับเด็กยากจน มีเงินกู้จากกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา และกองทุนที่ผูกติดกับรายได้ในอนาคต และยังสนับสนุนให้มีงานทำสร้างรายได้ระหว่างเรียน" นายยุรนันท์กล่าว
|
|
|
ขณะที่แหล่งข่าวในกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เปิดเผยว่า
ตั้งแต่วันที่ 6 มิถุนายน 2551 เป็นต้นไป พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ.2551 จะมีผลบังคับใช้ ซึ่งมีบทลงโทษผู้ที่แสวงหาประโยชน์จากการค้าประเวณี การผลิตหรือเผยแพร่วัตถุหรือสื่อลามก การแสวงหาประโยชน์ทางเพศในรูปแบบอื่น การเอาคนเป็นทาส การนำคนมาขอทาน การบังคับใช้แรงงานหรือบริการ การบังคับตัดอวัยวะเพื่อการค้าหรือการอื่นใดที่เป็นการขูดรีดบุคคล ไม่ว่าบุคคลนั้นจะยินยอมหรือไม่ ถือว่าผู้นั้นทำผิดฐานค้ามนุษย์ มีโทษจำคุกตั้งแต่ 4 -10 ปี และปรับตั้งแต่ 8 หมื่นบาท-2 แสนบาท
แหล่งข่าวรายเดิมกล่าวด้วยว่า หากการกระทำนั้นทำกับบุคคลที่อายุเกิน 15 ปีแต่ไม่ถึง 18 ปี มีโทษจำคุก 6-12 ปี ปรับตั้งแต่ 1.2-2.4 แสนบาท
และหากกระทำกับบุคคลที่อายุไม่เกิน 15 ปี มีโทษจำคุก 8-15 ปี และปรับตั้งแต่ 1.6-3 แสนบาท และหากผู้ทำผิดเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา สมาชิกสภาท้องถิ่น ผู้บริหารท้องถิ่น ข้าราชการ พนักงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พนักงานองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ กรรมการหรือผู้บริหารหรือพนักงานรัฐวิสาหกิจ เจ้าพนักงาน หรือกรรมการองค์กรต่างๆ ตามรัฐธรรมนูญ ต้องรับโทษเป็น 2 เท่า
|
|
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
|
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
|
|
|
แจ้งลบกระทู้นี้
อ่าน 1306 |
|
แสดงความคิดเห็น |
โดย กรรมกรข่าว
IP: Hide ip
, วันที่ 13 พ.ค. 51
เวลา 10:06:30
|