• ฮือฮา"หิน" รูปประเทศไทย โผล่พื้นที่ศึกเขมร |
โพสต์โดย กรรมกรข่าว , วันที่ 17 ก.พ. 54 เวลา 10:41:08 IP: Hide ip |
กด like เพื่อติดตามข่าวสารดีๆ จาก cmprice.com VVVVVV
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
ลิงก์ผู้สนับสนุน
© เนื้อหาข่าว/กระทู้
ฮือฮา"หิน" รูปประเทศไทย โผล่พื้นที่ศึกเขมร
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พบหินแปลกที่วัดภูสามสวรรค์ ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ซึ่งติดชายแดนไทย-กัมพูชา หลังทราบข่าวว่าวัดดังกล่าวมีหินลักษณะประหลาดรูปร่างคล้ายด้ามขวานแผนที่ประเทศไทย จากการเดินทางไปตรวจสอบพบว่า หินดังกล่าวมีรูปร่างลักษณะเหมือนแผนที่ประเทศไทยจริง
จากการสอบถามนายชัยวัฒน์ แถวไธสง ครูร.ร.บ้านเสาธงชัย ซึ่งตั้งอยู่บริเวณทางขึ้นวัด ทราบว่าหินดังกล่าวมีผู้พบเห็นมานานแล้ว ตั้งแต่ปี 2551 แต่ชาวบ้านไม่ได้สนใจอะไร เนื่องจากเส้นทางดังกล่าวเป็นเส้นทางหาของป่าและเป็นทางน้ำผ่าน เมื่อมีการสร้างถนนและบันไดภายในวัด เจ้าหน้าที่ทหารจากพัน.ร.163 ที่มาก่อสร้างได้มาพบเห็นเข้าจึงไปบอกพระฉกรรจ์ ปริสุทโธ เจ้าสำนักสงฆ์ เพื่อให้ย้ายหินก้อนดังกล่าวบริเวณเดียวกับที่ประดิษฐานรอยพระพุทธบาท แต่พระฉกรรจ์เห็นว่าควรเอาไว้ที่เดิมจึงไม่ได้เคลื่อนย้าย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเดิมหินดังกล่าวมีลักษณะสมบูรณ์กว่านี้ ต่อมาได้เสียหายไปบางส่วน โดยหินด้านที่มีรูปร่างติดต่อกับประเทศกัมพูชาหักไป จึงเชื่อว่ามีชาวกัมพูชาขึ้นมาทำลาย ทั้งนี้วัดแห่งนี้อยู่ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร เป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวบ้านในละแวกนี้ โดยบริเวณหลังวัดสามารถเดินไปถึงประเทศกัมพูชาได้มีระยะห่างไม่ถึง 1 ก.ม. เดิมทีเป็นพื้นที่ให้สัมปทานตัดไม้ นอกจากนี้ยังมีแผนที่โบราณมีรอยพระพุทธบาทและรอยพุทธหัตถ์จำนวนมาก
พระอาจารย์ฉกรรจ์ ปริสุทโธ เจ้าสำนักสงฆ์วัดภูสามสวรรค์เปิดเผยถึงหินลักษณะละม้ายคล้ายแผนที่ประเทศไทยว่า ส่วนตัวเข้าใจว่าเกิดจากการกัดเซาะของน้ำ เนื่องจากเป็นพื้นที่ทางน้ำไหล อย่างไรก็ตามภูเขาลูกนี้มีสิ่งอัศจรรย์มากมาย อาทิ รอยพระพุทธบาท รอยพุทธหัตถ์หรือแม้แต่หินซึ่งแกะสลักเป็นอักษรโบราณ
"หินแผนที่อาณาจักรสยามนั้นอาตมาเข้าใจว่าเป็นความบังเอิญ แต่ถ้าเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นน่าจะเกี่ยวข้องกับทหารไทย เนื่องจากเจ้าพระยาบดินทรเดชา เคยนำทหารผ่านเขาลูกนี้เข้าไปตีเขมร ฉะนั้นเส้นทางนี้ทหารจะนับถือมาก จะไม่เข้ามาสุ่มสี่สุ่มห้าที่สำคัญยังเป็นสถานที่ที่ทหารในรัชกาลที่ 2 และ 3 เคยใช้พักทัพมาก่อน" พระอาจารย์ฉกรรจ์ กล่าว
ส่วนนายบุญรอด พันธ์เดช อายุ 61 ปี เปิดเผยว่าแต่เดิมมีชื่อว่าภูสามเส้า เพราะมีลักษณะที่เหมือนเตา พอพระอาจารย์ฉกรรจ์ธุดงค์มาถึงภูเขาลูกนี้และสร้างสำนักสงฆ์ในเวลาต่อมาจึงเปลี่ยนชื่อเป็นภูสามสวรรค์
"สมัยก่อนคนแถบนี้เรียกภูเขาลูกนี้ว่าพระลานดอกบัวเพราะหินทุกก้อนดูตามจินตนาการเหมือนดอกบัว บางก้อนเหมือนใบบัว อีกทั้งมีลักษณะเป็นอักษรโบราณอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีหินลายแทงตำแหน่งต่างๆในวัด ซึ่งเป็นเรื่องอัศจรรย์เพราะหินนี้มีมาก่อนสร้างสำนักสงฆ์" ลุงบุญรอด กล่าว
ลุงบุญรอดกล่าวต่อว่า ขณะที่หินซึ่งมีรูปร่างลักษณะเป็นแผนที่ประเทศไทยนั้น น่าจะเกิดขึ้นจากธรรมชาติตนเห็นครั้งแรกประมาณปีพ.ศ.2537 เมื่อสอบถามชาวบ้านซึ่งตั้งรกรากมาก่อนตน ส่วนใหญ่ที่เคยเห็นต่างไม่เข้าใจว่าเกิดขึ้นจากเทวดา ธรรมชาติหรือจากคนโบราณตกแต่งขึ้น ส่วนตนนั้นวิเคราะห์จากรูปร่างลักษณะ คิดว่าน่าจะเกิดจากธรรมชาติไม่ได้เป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น แต่เรื่องที่เหนือธรรม ชาติคือตำแหน่งที่วางของหิน ตั้งอยู่ทิศเดียวกับประเทศไทยจริงๆ
"ชาวบ้านที่พบเห็นมีไม่มาก ส่วนใหญ่เป็นคนที่นำวัวควายไปกินหญ้าข้างบน แต่ไม่มีใครพูดถึง เคยไปกราบขอหลวงพ่อให้ยกหินรูปขวานทองมาไว้หน้าวัด แต่ท่านปรามไว้และอธิบายว่าถ้าย้ายมาก็ไม่เหมือนธรรมชาติ ควรอยู่ในที่ธรรมชาติ พอมาช่วง 3-4 เดือน หินก้อนนี้กลับถูกคนที่เข้ามาดูทำลาย จนบริเวณที่จินตนาการว่าเป็นดินแดนกัมพูชาบิ่นหักไป ซึ่งผมคิดว่าเป็นฝีมือวัยรุ่นหรือคนไม่ระวังไปเหยียบ แต่ก็มีบางกระแสบอกว่าเกิดจากคนเขมรแอบเข้ามาทำลาย เพราะแผนที่กินบริเวณอาณาเขตประเทศเขาด้วย ที่สำคัญเขาลูกนี้อยู่ห่างจากประเทศกัมพูชาไม่ถึงกิโลเมตรคนสมัยก่อนใช้เส้นทางนี้ไปมาหาสู่กัน" ลุงบุญรอดกล่าว
ที่มา ข่าวสด
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
ลิงก์ผู้สนับสนุน
|
|
|
|
แจ้งลบกระทู้นี้
อ่าน 2068 |
|
แสดงความคิดเห็น |
โดย กรรมกรข่าว
IP: Hide ip
, วันที่ 17 ก.พ. 54
เวลา 10:41:08
|